อืม...แปลกตาดีครับ ตันไม้แห่งชีวิตเหรอครับ แหม่..คิดไปได้เนอะ จริงๆ ธาตุทั้ง ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ (และอีก ๑ คือ อากาศธาตุ เป็น 'ช่องว่าง' หรือ space ครับ ไม่งั้นธาตุทั้ง ๔ จะไม่มีที่ตั้งนะครับ) ก็เป็นธาตุแห่งชีวิตจริงๆ นั่นแหละครับ แต่มันเป็นสมบัติของโลก ไม่มีใครเป็นเจ้าของมันได้จริงๆ หรอกครับ เพราะพอร่างกายของคนเรา (รวมถึงมวลสิ่งมีชีวิตทั้งหมด) เมื่อถึงจุดแตกดับ ก็ต้องคืนธาตุทั้ง ๔ นี้ (ซึ่งเป็นเพียงของที่เราขอยืมใช้แค่ชั่วคราว) ให้กับโลกและจักรวาลนี้ อยู่ดีนั่นแหละ..จริงมั้ยครับ.? แต่..ที่น่าสนใจก็คือ ธาตุทั้ง ๔ นี้ มีเหตุใกล้ให้เกิดขึ้น เป็นธาตุที่เหลืออีก ๔ ตัว ซะด้วยสิครับ ขอยกตัวอย่างนะ เช่น

๑). ธาตุน้ำ มีลักษณะคือ เหนี่ยวนำ ดึงดูดเข้าหากัน ถ้าปราศจากอะไรให้มันยึดเหนี่ยวแล้ว ธาตุน้ำก็เกาะกลุ่มรวมตัวกันไม่ได้ จริงมั้ยครับ.? แล้วอะไรล่ะครับ ที่เป็นที่ยึดเหนี่ยวของธาตุน้ำ เฉลย...ก็คือ "ธาตุดิน" ไงครับ ให้เราสังเกตนะครับว่า เมื่อเราปล่อยให้น้ำเปล่าใสๆ ในแก้ว โดนแสงแดดเผาจนแห้งไป เราจะสังเกตเห็นตะกอนหินปูนเล็กๆ จิ๋วๆ แห้งกรังอยู่ นั่นแหละธาตุดินครับ
๒). ธาตุดิน มีลักษณะคือ แข็ง หรือ ความแข็งความอ่อน ซึ่งธาตุดินจะเกาะกลุ่ม รวมตัวกันได้ก็เพราะมี ธาตุน้ำ
๓). ธาตุไฟ มีลักษณะคือ ความร้อน ความเย็น เมื่อธาตุดินกระทบกัน จะเกิดธาตุไฟ
๔). ธาตุลม มีลักษณะคือ เคลื่อนไหว พอธาตุไฟไหวตัว ก็จะกลายเป็นธาตุลม และเมื่อธาตุลมควบแน่นรวมตัวกัน ก็จะกลับไปเป็นธาตุน้ำ (ตามสูตรเคมีเลยนะครับคือ H2O คือ ไฮโดรเจน + ออกซิเจน พวกนี้เป็นกลุ่มก๊าซ จัดอยู่ในธาตุลมครับ)

เชื่อมั้ยครับว่า.? ในเส้นผมของเรา ๑ เส้น มีธาตุทั้ง ๔ อยู่ครบเลย อันแรกนะครับคือ ธาตุดิน ก็คือความแข็งความอ่อน ของเส้นผมไงครับ ต่อไปคือ ธาตุน้ำ เส้นผมก็มีความชื้นนะครับ และ ธาตุไฟ เส้นผมก็มีอุณหภูมิ ที่แสดงความร้อนเย็นเช่นกันนะครับ (ถ้าธาตุไฟน้อย เราก็ว่าเย็น ถ้าธาตุไฟมาก เราก็ว่าร้อนไงครับ) ต่อไปก็คือความเคลื่อนไหว ซึ่งเป็นลักษณะของ ธาตุลม ครับ

    จริงๆ แล้วโลกและจักรวาลทั้งหมด เชื่อมต่อเรา และสรรพชีวิตต่างๆ ในลักษณะที่ผูกพันกันตลอดเวลาเลยนะครับ และที่สำคัญที่สุดคือ ไม่มีใครเป็นเจ้าของใครได้จริงๆ ซะด้วยสิ เพราะสิ่งต่างๆ ล้วนเกิด หรือไหลมาแต่เหตุ แล้วก็ดับไปเพราะหมดเหตุ เช่นกันทั้งหมดครับ แต่ที่พวกเรายัง "หวง ตัวกู-ของกู" กันอยู่ ไม่ยอมปล่อย ก็เพราะไม่เข้าใจโลกและจักรวาล ตามความเป็นจริง ที่ว่า "ไม่มีอะไร..เป็น หรือใช่ของๆ เราอย่างแท้จริงเลยซักอย่าง เพราะทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนแต่..เป็นสมบัติของโลกทั้งสิ้น"

    อ้าว...ฝอยซะยาวอีกแล้ว อันนี้ผมได้มาจากการเรียนจากครูบาอาจารย์นะครับ (ฟังท่าน แล้วมาเล่าต่ออีกที) ซึ่งทั้งหมดที่ผมอธิบายมานี้ มีสอนอยู่ในศาสนาพุทธ (ที่มีมากว่า ๒,๕๐๐ ปีแล้ว) จริงๆ ยังมีรายละเอียดมากกว่านี้อีก เช่น ๑). ธาตุกรรมฐาน เล่นยาก ถ้าไม่ "ทรงฌาน" จริงๆ จะดูไม่ออกเลย ๒). ธาตุดิน ธาตุไฟ ธาตุลม รู้ได้ด้วยกาย ยกเว้น..ธาตุน้ำ รู้ได้ด้วยใจ ๓). ธาตุลม เมื่อรวมตัวอัดแน่นกันมากๆ เข้า เช่น ถ้าเรานั่งมอเตอร์ไซต์ที่วิ่งเร็วมากๆ ลมที่ปะทะเข้าหาตัวเรา จะมีน้ำหนักมากขึ้นเรื่อยๆ ธาตุลมที่แข็งขึ้น ในขณะที่ปะทะตัวเรา ด้วยความเร็วสูงมากๆ ครูบาอาจารย์ท่านว่า นั่นคือ "ธาตุดิน" เพราะมันเปลี่ยนสภาพไป ฟังดูแล้วอาจงงๆ นะครับ เพราะลำพังใช้วิธีการคิดๆ ๆ ๆ ๆ เอา จะพิสูจน์ข้อเท็จจริงเหล่านี้ไม่ได้เลย ต้องอาศัยการ "หยั่งรู้" ซึ่งจำเป็นต้อง "หลุดออกจากโลกของความคิด" เสียก่อนครับ)

    อ้าวๆ...มาวิจารณ์งานต่อดีกว่า ลืมเลย หะๆๆ ^_^)" คุณปุ๊เขียนใช้ได้นะครับ วางองค์ประกอบได้ดี น่าสนใจทีเดียว ผมว่า..เผลอๆ งานชิ้นนี้ของคุณปุ๊ อาจจะกลายเป็นต้นแบบผลงาน ของใครต่อใครอีกหลายๆ คน ที่เข้ามาศึกษาในนี้ก็ได้นะ
    เอ้า...ลืมแซว ฮั่นแน่ๆๆ ถ้าถอดแว่นแล้ว หล่ออย่างนี้ ก็ไม่น่าจะพรางตาในแว่นดำมาตั้งแต่แรกเลยนี่ครับ อย่างงี้ก็ต้อง "พี่น้อง..บางระจัน..บุก.!!!" ^^.. ขอให้วาดเล่นๆ ให้สนุกครับ (๕ ต.ค. ๒๕๕๔)