'
เปิดกรุ ครูช่าง
' ครั้งนี้ จิด-ตระ-ธานี แนะนำเอง (อีกแล้ว) ครับ เป็นภาพถ่าย (เก่าเก็บ) ที่ผมเก็บสะสมไว้นานแล้ว เป็นชุดภาพจิตรกรรมบนสมุดข่อยโบราณ ของวัดขนอน (หนังใหญ่) สมัยอยุธยาตอนปลาย งามมากๆ (เช่นกันขอบอก)
๖.
ชุดภาพจิตรกรรมบนสมุดข่อย วัดขนอน (หนังใหญ่) จ.ราชบุรี สมัยอยุธยาตอนปลาย
วัดขนอน (หนังใหญ่) จ.ราชบุรี มีชื่อเสียงในฐานะที่เป็นวัดที่อนุรักษ์การแสดงทางวัฒนธรรม "หนังใหญ่" ซึ่งเป็นศิลปะการแสดงชั้นสูงของไทยแต่โบราณ ที่กำลังค่อยๆ จะสูญหายไป (คำว่า "หนังๆ" ที่พวกเรานิยมเรียก การชมภาพยนตร์ในปัจจุบันนั้น ก็มีที่มาจากศิลปะการแสดง "เชิดหนัง" แต่โบราณนี่แหละครับ คนไทยแต่โบราณใช้วิธีแกะสลัก "หนังวัวหนังควาย" เป็นรูปตัวละครในเรื่องราวต่างๆ เพื่อใช้สำหรับเชิดนี่แหละครับ) และในวัดยังมีพิพิธภัณฑ์หนังใหญ่ ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ถาวรที่เปิดให้ชมหนังใหญ่ ซึ่งเป็นของโบราณแต่ดั้งเดิมด้วยครับ
แต่ใครจะรู้นิ...ว่า วัดขนอนยังมีโบราณวัตถุอื่นๆ อีก นอกจากหนังใหญ่ด้วยนะ ถึงหนังใหญ่ของวัดขนอน จะถูกสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ โดยพระครูศรัทธาสุนทร (หลวงปู่กล่อม) อดีตเจ้าอาวาสวัดขนอน ซึ่งท่านมีความรู้ทางด้านช่างเป็นอย่างดี แต่เมื่อคราวที่ผมได้ไปเยี่ยมชมวัดขนอนนั้น (สมัยยังเป็นนักศึกษาช่างศิลป นานมาก.ก.ก ละ...) ก็ยังไปพบสมุดข่อยโบราณในวัดอีกด้วย เมื่อพิจารณาจากภาพวาดภายในแล้ว น่าจะมีอายุย้อนไปถึงสมัยอยุธยาตอนปลาย สวยมากเลยครับ ผมก็ให้เพื่อนที่เป็นตากล้องที่ไปด้วยกัน ถ่ายเก็บไว้ เพิ่งจะมีคราวนี้แหละครับ ที่ได้นำออกมาเผยแพร่ให้ชมกันผ่านเว็บไซต์ "วาดเล่นๆ กับ จิด-ตระ-ธานี"
ภาพวาดภายในก็เขียนเล่าเรื่อง "ทศชาติชาดก" หรือ ๑๐ ชาติสุดท้าย ก่อนที่จะได้ตรัสรู้เป็น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คนไทยแต่โบราณนิยมเรียก ๑๐ ชาติสุดท้ายของพระพุทธเจ้าด้วยชื่อย่อๆ เพื่อให้จำง่ายๆ ว่า "
เต ชะ สุ เน มะ ภู จะ นา วิ เว
" ซึ่ง
เต
หมายถึง พระเตมีย์ใบ้
ชะ
พระมหาชนก
สุ
พระสุวรรณสาม
เน
พระเนมิราช
มะ
พระมโหสถ
ภู
พระภูริทัต
จะ
พระจันทกุมาร
นา
พระมหานารทกัสสปะ (พรหมนารถ)
วิ
วิธุรบัณฑิต
เว
พระเวสสันดร ซึ่งผมจะค่อยๆ อธิบายพร้อมกับ ชมความงามของภาพไล่ไปเรื่อยๆ นะครับ :
(๑๖ เม.ย. ๒๕๕๓)
save ภาพ : 351 KB
ภาพนี้เป็นภาพ "พระเตมีย์ใบ้" ซึ่งเป็นชาติแรกในทศชาติชาดกครับ พระเตมีย์เป็นโอรสของพระเจ้ากาสิกราช แห่งกรุงพาราณสี เมื่อพระเตมีย์เห็นพระราชบิดาตัดสินลงโทษโจร ด้วยการประหารและทรมานอย่างทารุณ จึงเกิดความหวาดกลัว และพระโอรสน้อยยังหวนระลึกย้อนกลับ ไปถึงสมัยที่ตนเองได้เสวยชาติเป็นกษัตริย์และตัดสินนักโทษอย่างเดียวกันนี้ จนทำให้ได้ไปเสวยทุกขเวทนาในขุมนรกเป็นเวลายาวนาน พระโอรสจึงตัดสินใจแสร้งทำตัว เป็นคนง่อย ใบ้ และหูหนวก (เพื่อที่จะไม่ต้องเป็นกษัตริย์) ถึงแม้พระบิดาจะใช้วิธีการหลอกล่อ ทั้งวิธีอ่อนๆ และวิธีแข็งๆ (แนวโหด) อย่างไร ก็ไม่เป็นผล ก็ไม่สามารถทำให้พระเตมีย์ละทิ้งความพยายามนั้นได้ (ตั้งแต่ ๙ ขวบ จนอายุ ๑๖ ปี...โห!) พระบิดาจึงตัดสินใจนำพระเตมีย์ไปฝังในป่าช้า (คือต้องการประหารนั่นเอง) เพราะเห็นว่าพระเตมีย์กลายเป็นกาลกิณีไปเสียแล้ว แต่เมื่อถึงป่าช้าพระเตมีย์จึงแสดงกำลังยกราชรถที่ทรงประทับมา แก่นายสารถี (ที่กำลังขุดหลุมเตรียมฝังอยู่) เพื่อแสดงให้เห็นว่าตนเองไม่ได้ง่อยและใบ้ จากนั้นพระเตมีย์จึงได้ออกบวชในที่สุด
ผมเล่าแบบย่อๆ นะครับ ถ้าใครสนใจก็สามารถหาอ่านเรื่องเต็มได้จากการเสิร์จหาในเน็ตนะครับ ในภาพนี้เป็นตอนที่พระเตมีย์ย่างเข้าสู้วัยรุ่น พระบิดาจึงให้หญิงงามมายั่วยวน หว่านเสน่ห์ หวังกระตุ้นราคะ แต่ก็ไม่สำเร็จ (เหมือนเคย) ชาตินี้พระโพธิสัตว์บำเพ็ญ "เนกขัมมบารมี" คือความมุ่งมั่น ตั้งใจกระทำตามความมุ่งหมายนั้นๆ อย่างหนักแน่น อดทน เพียรพยายามอย่างที่สุด. ชมภาพงามๆ กันเพลินๆ นะครับ :
จิด-ตระ-ธานี
Create and Maintained by
JitdraThanee
Copyright © 2008-2014 by JitdraThanee.com, All Rights Reserved.
Best viewed 1280x800 pixels.