|
| |
แก้ว จิตรกรสาวจากรั้ว คลอง ๖ ส่งผลงานลายไทยมาแสดงอีก ๑ ภาพ ครับ ระเบียง 'วาดเล่น ๆ กับ จิด-ตระ-ธานี' ยินดีที่ได้นำเสนอผลงานแก้วครับ
| |
สมจินต์ สังขาว (แก้ว) , ๒๗ ปี
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี คลอง ๖ , จ.กรุงเทพฯ
แรงบันดาลใจ : ทุกสิ่งเกิดมา ตั้งอยู่ และดับไป หรือไม่เคยเกิด ไม่เคยอยู่ ไม่เคยดับ หนูขอให้อาจารย์ช่วยอธิบายให้หนูที
ส่งผลงานเมื่อ  ๒๖ ก.ย. ๒๕๕๓)
|
|
|
|
|
|
| |
อืม....คราวนี้ถามมาแปลกๆ ไม่ยักอธิบายเรื่องรูปมา เช่นพระพุทธเจ้าปางนี้ เรียกว่าปางอะไร? ทำไมท่านต้องทำท่าอย่างงี้ด้วยล่ะ? ถามอย่างงี้เดี๋ยวใครๆ เค้าก็คิดว่าผมเป็น "หลวงตา" หรอก ฮ่าๆ แต่...หลวงตาปลอมๆ องค์นี้ ตอบคำถามหนูได้นะ เดี๋ยว...ขอวิจารณ์ภาพก่อน
รูปนี้แก้ววาดได้สวยมากเลยนะครับ รูปทรงก็ดี โทนสีภาพโดยรวมเป็นสีน้ำตาลอมแดง ดูอบอุ่น สวยมากๆ เลย แต่มีจุดที่ผมขอแนะนำนิดเดียว คือการตัดเส้นตรงทรวงอก จะเห็นว่าสองข้างไม่เท่ากันเห็นมั้ย? ถ้าลากเส้นกึ่งกลางจากพระพักตร์พระพุทธเจ้า ลงมาจนถึงพระนาภี (สะดือ) จะเห็นชัดเจนเลยว่า แก้วตัดเส้นช่วงอกไปจรดกับรักแร้ (ราชาศัพท์เรียกว่าไร ไม่ทราบครับ) ข้างหนึ่ง ดูกว้างมากกว่าอีกข้างหนึ่ง ทำให้ภาพขาดความสมดุลย์ ไม่เท่ากันเห็นมั้ย? นอกนั้นไม่มีอะไรครับ เรียกว่า..ภาพนี้วาดได้สวยมากๆ เลย เดี๋ยวจะเอา "ติดบอร์ด" ด้วย
เอาล่ะ!..ต่อไปเป็นคำถามที่ผมต้องแปลงร่างเป็นหลวงตาก่อน "โอม..นะโม นะเมี่ยง นะโม น้ำมนต์ หุหุๆๆ...." ^___^
สรรพสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ หากขึ้นชื่อว่า "เกิด" แล้ว ต้องตั้งอยู่ และดับไป เป็นธรรมดา โดยไม่มีข้อยกเว้นครับ เนื่องจากเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ คือลักษณะสามัญ ๓ ประการ ของทุกๆ สรรพสิ่งในโลก รวมทั้งทั่วสากลจักรวาลนี้ ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมไว้ ตรงนี้เข้ากับหลักการทางวิทยาศาสตร์ด้วยนะ เพราะทุกวันนี้นักวิทยาศาสตร์สามารถคำนวณได้แล้วว่า ระบบสุริยะ (Solar system) ของเรา ที่มีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง มีโลก และดาวเคราะห์ต่างๆ เป็นบริวาร หมุนวนอยู่รอบๆ นี้ จะถึงวันแตกดับเมื่อไหร่? โดยอาศัยการศึกษาจากแกแลกซี่ต่างๆ ภายนอกระบบสุริยะที่ห่างไกลมากๆ ซึ่งเมื่อมันหมดอายุขัย ก็จะระเบิดและแตกดับไป แน่นอนว่า...ยังเป็นระยะเวลาอีกนานมากๆๆๆๆ กว่าระบบสุริยะของเรานี้จะแตกดับลง เรียกได้ว่าต่อให้เราเกิดแล้วเกิดอีกต่อมา อีกหลายๆ ชาติแล้ว ระบบสุริยะนี้ก็อาจจะยังอยู่นะ
แต่สภาวะที่แก้วถามมาว่า "ไม่เคยเกิด ไม่เคยอยู่ และไม่เคยดับนั้น" มีอยู่ครับ คือสภาวะตามธรรมชาติ ที่พระพุทธเจ้าตรัสเรียกว่า "นิพพาน" (นิพพานยังมีชื่อเรียกอีกหลายชื่อนะ เช่น "วิสังขาร" "อสังขตธรรม" แปลว่า ธรรมะที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง) เพราะนิพพานนั้นทั้งไม่มีเจ้าของ ไม่ดี ไม่ชั่ว ไม่เคยเกิด จึงไม่เคยดับ หลุดพ้นจากกฎของไตรลักษณ์ ด้วยประการทั้งปวง แต่นิพพานมีอยู่นะ พูดตรงนี้อาจจะงงๆ เพราะนิพพานเป็นสภาวะตามธรรมชาติ (ธรรมดาๆ) ที่เกินกว่าวิสัยของ ภาษาสมมุติของมนุษย์จะบัญญัติลงไปได้ (เพราะถ้าพูดว่า "มี" เมื่อไหร่ก็ต้อง "ไม่มี" ทุกที แต่นิพพานเป็นภาวะที่น่าจะเรียกได้ว่า "มี แต่ ไม่มี" เพราะทั้งปราศจากตัวตน และไร้เจ้าของ)
จริงๆ ถ้าแก้วอยากจะรู้ให้ละเอียด ผมคงต้องอธิบายอีกยาวนะครับ โดยก่อนอื่น..แก้วต้องทำความเข้าใจก่อนว่า อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้สรรพสิ่งต่างๆ ในโลกและจักรวาลนี้ "ถือกำเนิดขึ้น" และอะไรที่เป็นเหตุเป็นปัจจัย ที่ทำให้สรรพสิ่งต่างๆ ในโลกและจักรวาลนี้ "ไม่ต้องกำเนิดขึ้น" อีกต่อไป ดับสนิทจริงๆ ผมเองยังรู้สึกอัศจรรย์ใจเลยนะว่า (ขนาดตอนนี้ เข้าใจเพียงแค่หางอึ่ง) ว่า..พระพุทธเจ้าท่านทรงค้นพบได้อย่างไร? ซึ่งตรงกับที่ท่านอาจารย์พุทธทาส กล่าวไว้ไม่มีผิดเพี้ยนคือ "นิพพาน ก็อยู่ตรงปลายจมูก..นี่แหละ" เพราะนิพพานไม่เคยจากไปไหน แต่กลับถูกความไม่รู้ตามความเป็นจริง (อวิชชา) ของเราเองครอบงำปิดบังอยู่ ถ้าขจัดความไม่รู้ออกไปเสียให้สิ้นซากหมดจดได้ (ไม่ง่ายหรอกนะ) นิพพานก็จะปรากฏขึ้น ต่อหน้าต่อตาเรานี่เอง เพราะฉะนั้นเบื้องปลายสุด ของการปฎิบัติธรรมในศาสนาพุทธนั้น "เราจะไม่ได้อะไรมา และไม่เสียอะไรไป" ครับ
สรุปให้ฟังอีกง่ายๆ ว่า " ถ้าขึ้นชื่อว่า เกิด ก็ต้องตั้งอยู่ และดับไป " เป็นธรรมดา แต่ถ้าหาก " ขึ้นชื่อว่า ไม่เกิด ก็ไม่มีอะไรต้องตั้งอยู่ และไม่มีอะไรต้องดับไป " เป็นธรรมดาอีกเช่นกัน หรือ "เพราะมีเหตุจึงเกิด หมดเหตุจึงดับ ถ้าไม่มีเหตุให้เกิด ก็ไม่มีเหตุให้ดับ" เพราะนิพพานเป็นภาวะที่ "พ้นจากของคู่" ด้วยประการทั้งปวง ย่อๆ แค่นี้แหละครับ (๒๗ ก.ย. ๒๕๕๓)
** อ้อ...ถ้าอยากสอบถามผมมากกว่านี้ ให้เข้าไปตั้งกระทู้ถาม ในเว็บบอร์ด "สนทนาประสาศิลปะ" ได้นะครับ ^__^
|
|
|
|
|
|
 |
| |
|
 |
|
| |
|
| |
Create and Maintained by JitdraThanee Copyright © 2008-2014 by JitdraThanee.com, All Rights Reserved. Best viewed 1280x800 pixels. |
|
