Baan Aree'26


Fun Learning traditional Thai designs with JitdraThanee's Logo

        ชมผลงานลายไทยอีก ๑ ภาพ ของหนุ่มน้อยจากแดนอีสาน ชาว จ.อุบลราชธานี นามตุ๊ต๊ะ ระเบียง 'วาดเล่น ๆ กับ จิด-ตระ-ธานี' ยินดีที่ได้นำเสนอผลงานตุ๊ต๊ะครับ

พลวัฒน์ ภาเรือง (ตุ๊ต๊ะ) , ๑๔ ปี
โรงเรียนวารินชำราบ , จ.อุบลราชธานี

แรงบันดาลใจ : พอดีว่า..ผมกำลังดูรายการ "คนอวดผี" (ช่อง ๗) มีกระดาษอยู่ ๑ ใบ ผมก็เลยใช้เวลาส่วนนั้น วาดรูปไปด้วยฟังเสียงบรรยายไปด้วย บางตอนก็เสียวขนลุก ทำให้สั่น รูปเลยไม่ค่อยสวยเท่าไรนะครับ

ส่งผลงานเมื่อ ๑๕ มี.ค. ๒๕๕๔)
 






Tuta's portrait


 

10
12345678910111213141516171819202122232425262728293031


    เพิ่งทราบว่าตุ๊ต๊ะ ใช้เวลาว่างระหว่างนั่งดูรายการทีวี แล้วก็วาดรูปไปได้ด้วยดิ ^^.. อืม..รูปนี้มาแบบเดียวกันกับ รูปที่ส่งมาในครั้งที่ ๙ นะครับ แต่รูปทรงกลับดูลู่ ปวกเปียก ไม่ค่อยงามเท่ารูปที่แล้ว สงสัยจิตคงกระเจิงตอนดูรายการผีๆ แน่ๆ เลย หะๆ....

    จริงๆ รายการผีๆ พวกนี้ เท่าที่ผมเห็นทำกันออกมาส่วนใหญ่ (รวมทั้งหนังโรงด้วย) ก็ไม่ค่อยให้ความรู้อะไรกับคนดู นอกจากเรื่องที่ชวนกระตุกต่อมให้ขนหัวลุก เน้นเฮฮา หรือไม่ก็..โน้มน้าวให้ยึดถือ หรือเชื่อเป็นจริงเป็นจัง กับสิ่งที่ไม่ควรเชื่อ (ซึ่งส่วนใหญ่จะทึกทักเอาเอง) และตบท้ายด้วยการเกทับ คนที่ไม่เชื่อ (ทำนองข่มขู่) ว่า "ไม่เชื่อ..อย่าลบหลู่" ซึ่งเป็นวลีเด็ดที่ท่าน ว.วชิรเมธี เคยกล่าวไว้ว่า เป็นประโยคที่ทำลาย หรือปิดกั้นไม่ให้เกิดนักปราชญ์ ซึ่งท่านก็เคยแนะนำว่า ควรเปลี่ยนเป็น "ไม่เชื่อ..ต้องศึกษาให้รู้จริง" มากกว่า

    ที่ผมพูดอย่างงี้ ไม่ใช่ว่า..ผมให้เชื่อว่า "ผี..ไม่มีจริง" หรอกนะครับ แต่ "ผี" ก็มีจริงๆ นั่นแหละ (เอาล่ะสิ..!) แต่ข้อมูลส่วนใหญ่ที่ออกมาตามสื่อต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องผีๆ สางๆ ที่กล่อมคนไทย รวมทั้งคนเกือบจะทั่วทั้งโลกอยู่ตอนนี้ ไม่ได้ก่อให้เกิดปัญญา ที่จะแสวงหาความรู้ที่แท้จริง เกี่ยวกับเรื่องผีๆ แต่อย่างใด แต่ถ้าเรา..เป็นชาวพุทธ (ไม่ว่าจะแท้ หรือเทียมก็ตาม คือ ประเภทที่อ้างตัวว่าเป็นชาวพุทธ แต่ก็ไหว้มั่วไปหมด หมู ๒ หัว วัวพิการก็ไหว้ ขอหวยกันชุลมุน ซึ่งออกแนวศาสนาที่นับถือผี ซึ่งมีมาก่อนที่พระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นมาในโลกนี้เสียอีก ซึ่งท่านได้ปฏิเสธความเชื่อเหล่านี้ แต่ทุกวันนี้กลับมีการ "เอาหมวกพุทธ" มาสวมไว้ แล้วบอกว่า นี่แหละคือ "ศาสนาพุทธ" ซึ่ง พุทธแท้ๆ ต้องไม่โง่ อย่างนี้แน่นอนครับ) ก็ควรจะศึกษา และทราบสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ เกี่ยวกับเรื่องนี้สักนิด คือ ท่านกว่าวว่า "หากผู้ใดไม่เชื่อว่า "โอปปาติกะ" มีจริง นั่นยังเรียกได้ว่าเป็น "มิจฉาทิฏฐิ" หรือมีความเห็นไม่ถูกตรงกับความเป็นจริงของโลก
   แล้ว โอปปาติกะ (อ่านว่า โอ-ปะ-ปา-ติ-กะ) คืออะไรล่ะ? โอปปาติกะ เป็นหนึ่งในกำเนิดทั้ง ๔ อย่าง ตามที่พุทธเจ้าสอนไว้ คือ

๑). อัณฑชะกำเนิด หมายถึง การกำเนิดจากฟองไข่ เช่น ปลา นก ไก่ และสัตว์เลื้อยคลานชนิดต่างๆ
๒). ชลาพุชชะกำเนิด หมายถึง การกำเนิดด้วยการชำแรกไส้ออกมา หรือเกิดจากโพรงมดลูก เช่น มนุษย์ และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ชนิดต่างๆ
๓). สังเสทชะกำเนิด หมายถึง การกำเนิดจากเมือกตม น้ำครำ คราบไคล หรือสิ่งสกปรกต่างๆ เช่น หนอนต่างๆ เป็นต้น
๔). โอปปาติกะกำเนิด หมายถึง การผุดเกิดขึ้นเต็มตัวทันที เป็นผู้ใหญ่เลยไม่ต้องผ่านการเป็นทารก และไม่ต้องอาศัยพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด เมื่อตายก็ไม่ทิ้งสรีระไว้ เช่น สัตว์ในสุคติภูมิ อาทิ เทวดา พรหม และสัตว์ในทุคติภูมิ เช่น สัตว์นรก เปรต อสุรกาย ต่างๆ เป็นต้น

    แล้ว ผี จัดรวมอยู่ในประเภทไหนล่ะ? ครับ...ใช่แล้ว! จัดรวมอยู่ในกลุ่ม โอปปาติกะ กำเนิด (บางวัฒนธรรมก็เรียก เทวดา ว่า..เป็น "ผี" เหมือนกัน) เพราะคนเรานั้น "ตายแล้วไม่สูญ" เพราะฉะนั้น ประเด็นความคิดที่ว่า "เกิดหนเดียวตายหนเดียว" จึงเป็น มิจฉาทิฏฐิ ไม่ถูกตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่คนเรา เมื่อตายลงแล้ว "วิญญาณ" ก็ไม่ได้ลอยออกจากร่าง เร่ร่อน หาที่เกิด เป็น สัมภเวสี อย่างที่คนส่วนใหญ่เชื่อถือกัน (สัมภเวสี แปลว่า "ผู้แสวงหาที่เกิด" ตราบใดที่ยังไม่พ้นทุกข์ ยังมีอวิชชา (ความไม่รู้ตามความเป็นจริง หรือ ไม่รู้อริยสัจ ๔) ฝังแน่น บดบังอยู่ในจิต ทุกๆ ชีวิตล้วนแล้วแต่..เป็นสัมภเวสี ด้วยกันทั้งสิ้น รวมทั้ง "ตัวเราเอง" ที่ตอนนี้ยังเป็นๆ อยู่ ยังไม่ตาย ก็นับรวมด้วย) แต่เมื่อจุติจิตเกิดขึ้่น (หมายถึงตาย) ปฏิสนธิจิต (จิตที่นำไปเกิด) ก็จะปรากฏขึ้นทันที ซึ่งภพใหม่ที่ได้ก็จะเป็นไปตาม "กรรม" (แปลว่า การกระทำโดยเจตนา) ของผู้นั้นที่กระทำไว้ก่อนตายเนืองๆ เช่น หากก่อนตายเป็นผู้มักโกรธ จิตเกลือกกลั้วอยู่ด้วยโทสะจริต เมื่อตายลง อกุศลจิต ก็จะนำพาให้ไปเกิดร่วมเป็นสหายกับ "สัตว์นรก" แต่หากก่อนตาย เป็นผู้หมั่นรักษาศีลเนืองๆ มีความเกรงกลัวละอายต่อบาป ก่อนตายถ้า..กุศลจิต เกิด (อันนี้ไม่แน่ด้วยนะ) ก็จะนำไปสู่ภพใหม่ที่เป็นกุศล อย่างเช่น เทวดา เป็นต้น (เทวดามีหลายชั้น ตามแต่กำลังของกรรมที่สั่งสมมา มีตั้งแต่ชั้นต่ำสุดอย่าง "ภุมมเทวดา" เทวดาที่อาศัยตามพื้นดิน ต้นไม้ ภูเขา และสูงกว่าเช่น "อากาศาเทวดา" เทวดาที่อาศัยในอากาศ พวกนี้จะเหาะได้ เป็นต้น)

    ถ้าจะให้ผมอธิบายให้ละเอียด คงอีกยาวมาก และดูนอกเรื่องไปหน่อย (อยากจะฟังกันมั้ยเนี่ย..?) เอาเป็นว่า "จิต" มีธรรมชาติในการเกิดดับถี่ยิบ คล้ายๆ กับเรามองดูแสงไฟจากหลอดนีออน ซึ่งจริงๆ แสงไฟที่ส่องออกมาจากหลอดไฟนั้น มีการกระพริบอย่างต่อเนื่อง ถี่ยิบอยู่ตลอดเวลา แต่สายตาเรามองไม่ทัน จึงเห็นไปว่าไฟส่องแสงสว่างอยู่ตลอด เหมือนมันไม่เกิดไม่ดับ หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง คือ หนังการ์ตูน ซึ่งจริงๆ ที่เราเห็นมันขยับได้นั้น เป็นเพราะมีภาพต่อเนื่อง วิ่งไหลสลับกันอยู่ตลอดเวลา ถ้าจะยกตัวอย่าง ภาพยนตร์การ์ตูนคลาสสิคของ Walt Disney อย่างเรื่อง "Snow White กับคนแคระทั้ง ๗" ใน ๑ วินาที นั้นจะใช้ภาพนิ่ง (ที่วาดให้ค่อยๆ ขยับทีละนิดๆ) ถึง ๒๔ ภาพ แต่เวลาตอนฉายให้ดูอย่างต่อเนื่อง เราจึงเห็นเหมือนกับว่าตัวการ์ตูนนั้น ขยับ เคลื่อนไหวได้
    แต่ "จิต" มีธรรมชาติในการเกิด-ดับ ถี่ยิบมากมายกว่านั้นหลายร้อยหลายพันเท่า และ "จิต" ก็เป็นเพียงธรรมชาติ "รู้" หรือเรียกอีกชื่อได้ว่า "วิญญาณ" ซึ่งต้องอาศัยเหตุ และปัจจัย ในการทำให้มันเกิดขึ้นมาเช่นกัน เพราะวิญญาณเองจะเกิดขึ้นลอยๆ ไม่ได้ เช่น "จักษุวิญญาณ" (การรับรู้ทางตา) ก็ต้องอาศัย ๑. ตา (รูป) ส่งไปกระทบ รูปภายนอก เกิด ๒. เวทนา (ความรู้สึกสุข-ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์) เกิด ๓. สัญญา (ความจำได้ หมายรู้) เกิด ๔. สังขาร (ความคิดปรุงแต่ง) และมี ๕. วิญญาณ (ซึ่งเป็นธรรมชาติรู้ เฉยๆ ไม่ได้แปลว่า "ผี") เข้าไปรองรับอีกที เราจึงเกิดการมองเห็นและเข้าใจสิ่งที่เห็นได้ เพราะวิญญาณไม่สามารถเกิดขึ้นลอยๆ ได้ หากขาดองค์ประกอบในข้อที่ ๑. - ๔. เพราะตัวมันเอง "วิญญาณ" ก็ไม่ได้มีตัวตนที่แท้จริงเช่นกัน ต้องอาศัยสิ่งต่างๆ ประกอบร่วม ทำให้เกิด

    ถ้าจะถามอีกว่า "เรามองเห็นด้วยอะไร..?" หลายคนอาจตอบว่า "เรามองเห็นได้ด้วยตา" ถ้าอย่างงั้น แล้วคนตายล่ะ..? ก็ยังมีตาอยู่เหมือนกัน แต่ทำไมจึงไม่สามารถมองเห็นได้อีกแล้ว ก็เพราะขาด "วิญญาณ" หรือจิด ซึ่งเป็นธรรมชาติในการรับรู้นั่นเอง แล้วเวลาเรานอนหลับ แล้วฝันล่ะ..? เราเห็นอะไรบ้าง หลายคนอาจตอบได้ว่า เห็นภาพ (ภาพสีด้วยนะ) ได้ยินเสียง (คุยกับคนในผันได้) บางคนอาจได้กลิ่นด้วย แต่ตอนนอนเราหลับตานี่ ในห้องก็เงียบไม่มีเสียง แล้วเราเห็นรูป และได้ยินเสียงด้วยอะไรล่ะ..? ก็ต้องตอบว่าเห็นและได้ยินด้วยจิต และเป็นจิตชนิด "จิตสังขาร" (ความปรุงแต่งทางความคิด) เสียด้วยสิ

    สรุปว่า พอคนตาย ร่ายกายซึ่งประกอบด้วยธาตุทั้ง ๔ (ดิน น้ำ ลม ไฟ) แตกสลายกลับคืนสู่โลก ที่เราเคยขอยืมมาใช้ชั่วคราว แต่..จิตสังขาร ยังทำงานอยู่ (มันทำงานได้เอง เหมือนที่เราเห็นในฝันนั่นแหละ โดยไม่ต้องอาศัยตา หู จมูก ลิ้น ที่มาจากกายเนื้ออีกต่อไป แต่ข้อ ๒. - ๕. ซึ่งเป็นนามธรรม ยังทำงานอยู่) และสาเหตุสำคัญที่ทำให้ "จิตสังขารยังทำงานอยู่" ก็เพราะมันหวง มัน "หลง" ยึดตัวตน มันไม่ยอมปล่อย ด้วยความไม่รู้ (อวิชชา) ว่า "ตัวตน" ที่แท้จริงนั้น..ไม่เคยมีอยู่จริง จึง "หลงสร้างภพ" ขึ้นมาใหม่เรื่อยๆ ซึ่งอาจจะดีบ้าง เลวบ้าง ซึ่งล้วนเป็นไปตามกรรมของบุคลลนั้นๆ ที่กระทำมาอย่างสม่ำเสมอก่อนตาย ถ้าจิตก่อนตายเป็นกุศล ก็ได้ภพที่ดี เช่น มนุษย์ขึ้นไป รวมเทวดา และพรหมทุกๆ ชั้น แต่ถ้าก่อนตายจิตเป็นอกุศล ก็ได้ภพที่เลวกว่ามนุษย์ เช่น สัตว์เดรัจฉาน เปรต สัตว์นรก อสุรกาย
    การที่เราได้ภพของมนุษย์ จึงเป็นภพที่ดีที่สุดในการบรรลุธรรม (ทำลายอวิชชา หรือ "ละความอยาก" ทิ้งได้ ด้วยการเจริญปัญญา รู้ทันตามความเป็นจริง, นิพพาน คือสภาวะที่พ้นจากความอยาก) ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า (เพราะชาติสุดท้าย ท่านก็เป็นมนุษย์เหมือนเรา) ส่วนภพที่ต่ำกว่าเรา ถ้าหากเรา..เป็นคนมีศีลมีธรรมหนักแน่น ก็ไม่ควรกลัว เพราะชีวิต (ในภพที่ต่ำกว่าเรา) เหล่านั้น อุดมไปด้วยความทุกข์แสนสาหัส ลำบากกว่าเรามาก เปรียบเหมือนกับเรามียศเป็น นายพล (มนุษย์) เราจะไปกลัวพวก พลทหาร (ผี เปรต สัตว์นรก) ไปทำไม..? จริงๆ เราควรจะสงสาร เมตตาเขาให้มากๆ เสียมากกว่า

    แต่..ถ้ายังขึ้นชื่อว่า "ได้เกิด" ก็ยังไม่พ้นทุกข์จริง (เพราะยังมีอวิชชา เป็นตัวนำให้เกิดอยู่) เทวดา พรหม ก็มีวันตายนะ อย่าประมาทเชียว ไม่สุขถาวรจริงๆ หรอก

    คราวนี้ฝอยนอกเรื่องไปมาก แต่น่าจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นๆ ที่ชอบอ่านเรื่องแบบนี้บ้างก็ได้นะครับ ขอให้ตุ๊ต๊ะวาดเล่นๆ ให้สนุกครับ (๑๙ มี.ค. ๒๕๕๔)
 
 

 


 


 
Histats.com, Created : 7 Dec.2010
   
  Create and Maintained by JitdraThanee Copyright © 2008-2014 by JitdraThanee.com, All Rights Reserved. Best viewed 1280x800 pixels.