เมื่อดอกไม้ไฟถูกจุดพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้ายามราตรี ในช่วงแห่งเทศกาลเฉลิมฉลอง ทั้งสวยงาม เจิดจรัส แจ่มจ้าและดังสนั่น แต่เพียงชั่วไม่กี่อึดใจ ความงามที่ปรากฏก็พลันดับสูญ ทิ้งตัวร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน สิ่งนี้คือ “สัจธรรม” ที่คนส่วนใหญ่มักมองข้ามและเมินเฉย เพราะเลือกโฟกัสแต่ความสวยงามสุกสว่างระยิบระยับชั่วครู่ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่า…มายาภาพที่ปรากฏนั้น จะคงรูปอยู่ได้แค่เพียงชั่วคราว
ที่เกริ่นมาข้างต้น…ไม่ต่างอะไรกับชีวิตผม ณ เวลานี้…ที่เหวี่ยงรุนแรง เคยพุ่งขึ้นแล้วก็ร่วงหล่น ไม่ต่างกับนิทานดอกไม้ไฟ วิกฤตระลอกใหม่…เริ่มต้นจากการระบาดใหญ่ของโควิด-19 เมื่อ 4 – 5 ปีก่อน แต่กลับส่งผลกระทบ…ลากยาว และรุนแรงต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน จวบจนอายุผมล่วงเลยมาจนครบ 53 ปีบริบูรณ์ ในวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 ถามว่า..มีมั้ย? เรื่องปัญหาสุขภาพ มีครับ มีแน่นอน เพราะตัวเราก็แก่รุ่นลุงแล้ว แต่…ยังพอรับไหว แต่ที่ยังยักแย่ยักยัน…สามวันดีสี่วันไข้ ก็คือปัญหาเศรษฐกิจ ดีว่า…ที่ผ่านมายังพอประคองตัวไหว ชนิดต่อชีวิตได้ไปวันๆ เมื่อปาฏิหาริย์ไม่ (น่าจะ) มีอยู่จริง การก้มหน้าตั้งใจปฏิบัติเพื่อฝ่าวิกฤตอย่างเต็มกำลัง คือคำตอบที่ชัดเจนที่สุด
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของผมอีกอย่างหนึ่งในปีนี้คือ “การย้ายบ้าน” (จากบ้านเช่าที่เคยอยู่มานานกว่า 20 ปี) ต้องระเห็ดย้ายตัวเองมาอยู่อีกหลัง แต่…คงเพราะยังมีบุญคุ้มกะลาหัวอยู่บ้าง จึงได้ที่อยู่ใหม่ในเวลาไม่นาน เพียงแต่สำนึกชัดในมโนทวารว่า ความกรุณาครั้งนี้เป็นแค่ที่ซุกหัวนอนชั่วครั้งชั่วคราว ก่อนจะต้องย้ายอีกรอบในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
ประสบการณ์ตรงและบทเรียนที่ได้รับจากการย้ายบ้านครั้งนี้…คือ บรรดาข้าวของสัมภารกต่างๆ ที่เคยเก็บสะสมมานาน นานเสียจน…ขณะรื้อย้ายแต่ละอย่างด้วยความเหนื่อยหนัก ต้องบ่นอุบ…แกมก่นด่าตัวเองในใจว่า “กูจะเก็บห่าอะไร…มากขนาดนี้วะ” ก็รู้ทั้งรู้อยู่แก่ใจว่า…หากตัวเองตายเมื่อไหร่ สิ่งที่เคย (คิดว่า) หวงนักหวงหนานี้ จะแปรสภาพกลายเป็นขยะทันที เพราะจำนวนมาก…ไม่ใช่สิ่งที่คนข้างหลังต้องการ
หรือเพราะเราคิดไปเองว่า…มันคือ “สิ่งมีค่า” หรือท้ายที่สุดมันคือ “ขยะ” กันแน่ฟร่ะ..? บทเรียนนี้ทำให้ผมต้องตระหนักต่อไปว่า…. “มึงควรเก็บเท่าที่จำเป็นและควรเป็นของที่ถูกใช้งานจริงๆ ยามมีชีวิต” มากกว่า…แค่ดูเล่น หรือเผลอเก็บไว้จนลืม เพราะหากย้ายอีกรอบหน้า แล้วข้าวของยังพะเรอเกวียนแบบนี้อีก สมควรพูดด่าตัวเองได้คำเดียวว่า…Oh Shit!
ในปริมาณข้าวของที่ขนย้ายมาทั้งหมด คะเนเอาว่า…น่าจะเลือกไปบริจาคหรือทิ้งได้กว่าครึ่ง และสิ่งที่มีมากที่สุดอย่างหนึ่งคือ “หนังสือ” (ที่ระหว่างขนย้ายเล่นเอาผม ปวดแขน ระบมขาไปหมด) หลายปีก่อน…เคยมีคัดออกไปบริจาคบ้างแล้ว แต่สันดานที่เป็นคนชอบซื้อ มันเลยเพิ่มเติมเข้ามาอีกเรื่อยๆ จนตู้หนังสือเดิมล้นไม่พอเก็บ ต้องหาซื้อลังพลาสติกขนาดใหญ่มาเก็บเพิ่มอีกหลายใบ แถมมีหลายเล่มยังถูกซีลด้วยพลาสติก (เท่ากับไม่เคยเปิดอ่าน) เข้าทำนอง “กองดอง” ของแทร่ ใครมีนิสัยแบบนี้เหมือนผมมั่งมั้ยครับ? ยิ่งตอนช่วงเซลล์ลดกระหน่ำยิ่งชอบ อุ๊ย!…เล่มนี้ก็น่าอ่าน เล่มโน้นก็น่าเอา…อือๆ เอาน่าๆ ซื้อไว้ก่อนๆ สุดท้ายก็ถูก “กอง” เข้ากรุและ “ดอง” (เค็ม) มาจนถึงปัจจุบัน
มีสิ่งน่าคิดอย่างหนึ่ง ถึงแม้ผมจะแก่ปูนนี้แล้ว แต่…ทำไมยังรู้สึกเหมือนสมัยยังเป็นวัยรุ่น (ถึงหนังจะเริ่มเหี่ยว เส้นผมและขนทั่วทั้งร่างเริ่มแปรเป็นสีดอกเลาแล้ว) แต่สิ่งหนึ่ง…ที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงคือ ประสบการณ์ที่สั่งสมมายาวนาน ทำให้ “วิธีคิด” ต่างจากช่วงวัยรุ่นมาก อาจเพราะถูกกระหน่ำโบยตีจากโลกแห่งความเป็นจริงของชีวิต จนไม่อาจ “ใสซื่อ” “เสร่อ” หรือมองโลกสวยเหมือนการ์ตูน/นิยายชวนฝันได้อีกต่อไป
ผมเชื่อว่าหากใคร (ร่วมรุ่นกัน) ที่ยืนอายุมาได้จนถึงวันนี้ น่าจะมีเรื่องเล่าจากประสบการณ์ตรงทั้งดีและร้าย ชนิดพ่นออกมาได้เป็นฉากๆ ไม่มากก็น้อย อ้อ…อยากบันทึกไว้อีกว่า เมื่อล่วงเข้าวัยนี้ การได้ยินข่าวคราวเพื่อนๆ ร่วมรุ่นทยอยตุย กลายเป็นเรื่องปกติไปซะแล้ว
อยากฝากเป็นข้อคิดเพื่อเตือนใจตัวเอง หรืออาจมีคนหลงอ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ กับประโยคธรรมดาๆ ประโยคหนึ่ง ที่น่าจะเคยได้ยินกันมาเนิ่นนานว่า… “ความแน่นอนที่สุด ก็คือ…ความไม่แน่นอน” นั้น…แท้จริงเสียยิ่งกว่าอะไร ชนิดที่ไม่จำเป็นต้องตั้งคำถามหรือสงสัยกันอีกต่อไป ขอการันตีจากมนุษย์ลุงคนนี้
หากคราใดชีวิตกำลังรุ่งพุ่งแรง ก็อย่าหลงระเริงกับความสำเร็จ…จนลืมตัว ถ้าเกิด “หลง” ก็ให้กำหมัดชกหน้าตัวเองหรือหยิกเนื้อตัวเองแรงๆ ให้เจ็บ เพื่อเตือนให้จำว่า มันไม่ต่างอะไรกับ #นิทานดอกไม้ไฟ ที่ผมยกตัวอย่างมาข้างต้น เพราะสัจจะคือ “ไม่มีสิ่งใดที่พุ่งขึ้นไปจนสุดแล้ว…จะไม่มีวันร่วงลงมา”
หากคราใดชีวิตดิ่งตกร่วงลงต่ำ ก็อย่าเอาแต่ฟูมฟายจนเสียอาการ ขอให้ระลึกไว้เสมอว่า มันคือสัจจะและวัฏจักรของการขึ้นการลง ตราบใดที่คุณยังมีชีวิตและลมหายใจ ขอให้รวบรวมกำลังใจให้เต็มที่ เดินหน้าสู้ต่อไปให้สุดทาง
บางครั้งในวันที่ตกต่ำสุดขีด สิ่งที่คุณไม่เคยคิดว่าจะทำ (ไม่ว่าจะไม่ชอบ ไม่ถนัด ร้อยแปดเหตุผล บลาๆ) แต่พอถึงเวลา…มันจำเป็นต้องทำ บางทีกับสิ่งนั้น…มันอาจกลายเป็นจุดเริ่มต้น ของการพุ่งขึ้นของชีวิตในระลอกใหม่ก็เป็นได้ สำคัญคือ อย่า…หนีความจริง เพราะมันไม่เกิดประโยชน์โพดผลใดๆ เลย ไม่ว่าใจคุณจะยอมรับหรือไม่ยอมรับมันก็ตาม แต่ถ้ามันคือสัจจะ อย่างไรมันก็ต้องเกิดวันยันค่ำ ไม่ว่าคุณจะไม่อยากให้เกิด พยามเหนี่ยวรั้งยื้อยุด หรือเกลียดกลัวมันมากแค่ไหน สุมท้ายมันก็ต้องเกิดอยู่ดี อาทิ “ความตาย” เป็นต้น
อีกเรื่องที่อยากฝากเตือนตัวเองไว้ ในฐานะที่เลี้ยงสังขารมาได้จนถึงปูนนี้แล้ว เพราะเคยเห็นมากับตา หากคุณเป็นคนเก่งจัดๆ ก็อย่าหลงระเริง ตีฟู เคยได้ยินสำนวนไทยสำนวนหนึ่งมั้ย…ที่ว่า “เหนือฟังยังมีฟ้า” นี่ก็คือ…ข้อเท็จจริงอีกเช่นกันครับ
“ความเปลี่ยนแปลง” คือสัจจะ “ความไม่แน่นอน” ก็คือสัจจะ หากเข้าใจความธรรมดาของโลกใบนี้ได้อย่างลึกซึ้ง มีใจยอมรับ และเตรียมพร้อมรับมือกับมันได้ในทุกขณะจิต ในชีวิตนี้คุณจะพานพบกับความสงบสุขภายในขึ้นอีกมาก
ถึงทรัพย์สินจะมีค่าและจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตมากแค่ไหน เพราะมันคือข้อตกลงร่วมกันของคนในสังคม แต่สุขภาพที่ดีกลับมีความสำคัญยิ่งยวดไม่น้อยไปกว่ากัน ยิ่งสำหรับคนในวัยนี้
ในวาระที่ #วันล้ออายุ เวียนมาครบรอบอีกครั้งในปี 2568 (2025) ขอฝากเตือนตัวเองไว้เพียงเท่านี้
พ่อไก่อู
จิด.ตระ.ธานี
#Jitdrathanee
0 comments on “นิทานดอกไม้ไฟ กับ ความขึ้นๆ ลงๆ ของชีวิต”Add yours →