พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
|
|
๒๐. "อย่ายอมเป็นชาวพุทธคนสุดท้าย" โดย พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช แนะนำโดย พ่อไก่อู (๑๕ มี.ค. ๒๕๕๖)
เป็นบทความที่ผมอ่านพบในนิตยสารออนไลน์ "ธรรมะใกล้ตัว" จากคอลัมน์ ธรรมะจากพระผู้รู้ - ฉบับที่ ๑๖๔ โดย พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช ท่านพูดเรื่อง วิกฤตชาวพุทธในปัจจุบัน ที่คงเหลืออยู่แต่เพียง "ชาวพุทธตามทะเบียนบ้าน ตามบัตรประชาชน" หรือไม่ก็กระแสที่มุ่งเน้น ไปที่การก่อสร้างถาวรวัตถุทางศาสนากันอย่างมโหฬาร (ท่านก็ว่าดีนะ ท่านไม่ปฏิเสธหรอก) แต่มีข้อน่าสังเกตว่า ถ้าเมื่อไหร่..สังคมหมดชาวพุทธ สิ่งเหล่านั้นก็จะถูกลืม และถูกทอดทิ้งในทันที
เพราะหัวใจของศาสนาพุทธก็คือ "สัมมาทิฏฐิ" ที่มักถูกมองข้าม และไม่มีใครสอนได้อย่างถูกต้อง จนกลายเป็นสิ่งที่หาได้ยากในปัจจุบัน โดยการเป็นชาวพุทธอย่างที่หลายๆ ท่านเข้าใจกันในทุกวันนี้ก็คือ การทำบุญ ทำทาน สวดมนต์ นั่งสมาธิ หรือการสวมใส่ชุดขาว เท่านั้น (แต่อย่าลืมว่า...ศาสนาอื่นๆ ก็มีการทำบุญ ทำทาน สวดมนต์ ทำสมาธิเพื่อให้จิตใจสงบ โดยระลึกถึงพระผู้เป็นเจ้าเหมือนกันนะ *หรือไม่..ก็มีแต่กระแส "แก้กรรม" โน่นนี่ ซึ่งกำลังอินเทรน์มากๆ ในตอนนี้)
ที่กล่าวมานั้น ยังเป็นเพียงแค่รูปแบบ ที่ไม่ลงลึกให้ถึงรายละเอียด ว่าการเข้าถึง "สัมมาทิฏฐิ อย่างชาวพุทธ" นั้นควรได้มาอย่างไร ซึ่งก็คือการศึกษาเรื่อง การเจริญสติ เจริญปัญญา เป้าหมายก็เพื่อมุ่งทำลาย "อวิชชา" ว่า "ตัวกู ของกู" มีอยู่จริงๆ (เพราะ ตัวกู-ของกู นั้นไม่เคยมีอยู่จริง แต่ถูกปรุงแต่งขึ้นมา ด้วยความหลงคิดผิดๆ) ซึ่งจะทำให้เรา ได้เป็นชาวพุทธอย่างแท้จริง โดยได้สาระจากคำสอนของพระพุทธเจ้า (ซึ่งเป็นโอกาสที่หาได้ยากมากแล้ว) และจากอานิสงส์ผลบุญ ที่ทำให้ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา และพบกับครูบาอาจารย์ที่สอนแนวทางการปฏิบัติที่ถูกต้อง
หลวงพ่อปราโมทย์ ได้ยกตัวอย่างที่ประเทศอินเดีย (หลังจากที่ท่านไปเยือนมา) ซึ่งถือเป็นดินแดนต้นกำเนิดของศาสนาพุทธ แต่ปัจจุบันได้สูญไปเรียบร้อยแล้ว สิ่งก่อสร้างต่างๆ อาทิ เจดีย์ ก็ถูกทิ้งร้าง มีการรื้อเอาอิฐที่ก่อสร้างเจดีย์ออกไปปลูกสร้างสิ่งอื่นๆ แทน ซึ่งน่าตกใจว่า หากที่ใดไม่มีชาวพุทธที่แท้จริงเสียแล้ว ศาสนวัตถุอันโอฬารต่างๆ ก็ไม่อาจจะคงอยู่ได้เช่นกัน
พูดมาซะยาว มาอ่านรายละเอียดกันเลยดีกว่านะครับ และขออนุญาตเผยแพร่ต่อด้วยครับ
พ่อไก่อู
อย่ายอมเป็นชาวพุทธคนสุดท้าย
พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรม ณ สวนสันติธรรม
วันอาทิตย์ที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๕
คนชอบทอดกฐินเนาะ
ทอดกฐินนะทอดที่ไหนก็ได้ ก่อนทอดกฐินนะมาฟังธรรมก่อน
หลวงพ่อเน้น งานหลักของหลวงพ่อเลยนะ ในชีวิตนี้ที่ตั้งใจ
คือจะรักษาสืบทอดคำสอนของพระพุทธเจ้าไว้
สิ่งที่ต้องการมากที่สุดเลยก็คือ ถ่ายทอดธรรมะเข้ามาสู่ใจของพวกเราให้ได้
ไม่มีที่ไหนที่จะเก็บรักษาธรรมะไว้ได้เหมือนที่ในใจของพวกเรา
ถ้าใจของพวกเรามีธรรมะแล้วเรื่องอื่นๆ มันตามมาเอง
อย่างบางที่เขาแข่งกันสร้างวัตถุ
สร้างโบสถ์หรูหราอะไรอย่างนี้เป็นร้อยล้านพันล้าน
สร้างโน่นสร้างนี่ ก็ดีเหมือนกันมันเป็นศาสนวัตถุ
แต่ถ้าวันที่แผ่นดินไม่มีชาวพุทธ มันเป็นวัตถุที่ไม่มีคุณค่าอะไรเลย
ไม่มีคนเหลียวแล มีคนเหยียบย่ำซะอีก
|
หลวงพ่อไปอินเดียมานะเห็นแผ่นดินที่เคยมีพระพุทธศาสนา
ร่มเย็นยั่งยืนกว้างใหญ่ไพศาล มีสิ่งก่อสร้างมากมายเลย พอหมดชาวพุทธก็ไม่มีคนรักษา
คนศาสนาอื่นเค้าก็มารื้อเจดีย์รื้ออะไร เอาก้อนอิฐไปใช้
ไปเจอพระบรมสารีริกธาตุ เค้าก็เอาไปลอยน้ำ
เค้าไม่ได้เหยียบย่ำนะ เค้าเชื่อว่าคนตายต้องเอากระดูกไปทิ้งน้ำ
งั้นถ้าเรามุ่งไปที่ตัววัตถุ ถึงวันที่แผ่นดินไม่มีชาวพุทธ วัตถุก็ถูกย่ำยี
สิ่งที่หลวงพ่อใฝ่ฝันนะ ปรารถนาที่สุดก็คือ พวกเราต้องเป็นชาวพุทธที่แท้จริง
ชาวพุทธที่แท้จริงไม่ใช่แค่ว่าถึงเทศกาลก็มาทำบุญ
ถึงเวลาทอดกฐินก็มาทอดกฐิน ต้องทอดให้ได้ ๙ วัดจะได้เฮงๆ
คำว่าเฮงๆ นะ ไม่มีในสารบบที่พระพุทธเจ้าสอน คำว่าเฮงคำว่าซวยนี้ ไม่มีนะ มันมีแต่คำว่า "กรรม"
งั้นพวกเราต้องมาเรียนธรรมะนะ แต่ละคนน่ะไม่รู้ตัวหรอกว่ามีความสำคัญ
เวลานี้ศาสนาพุทธนั้นแทบจะไม่เหลืออยู่แล้ว
หลวงพ่อไปที่คยา (พุทธคยา) เห็นชาวพุทธนานาชาติเลยเค้ามาไหว้พระ
มาสวดมนต์นะเสียงดังๆ เจื้อยแจ้วกันนะ ไม่มีสติหรอก
หาคนที่จะเจริญสติปัฏฐานจริงๆ หาไม่ได้
มันเป็นพุทธด้วยชื่อเท่านั้นเอง ด้วยความเชื่อว่าเป็นพุทธ
แต่เนื้อหาสาระของความเป็นพุทธนั้นไม่ค่อยจะมีหรอก หายากมากเลย
ทั้งคนไทย ทั้งชาวพุทธต่างชาตินะ เหมือนๆ กัน ก็ไปทำบุญ ไปสวดมนต์ ทำทาน อะไรอย่างนั้น
เนื้อแท้ของคำสอนของพระพุทธเจ้าเนี่ย ไม่มีคนเหลียวแลเท่าไหร่หรอก
พวกเราทุกคนเลยมีความสำคัญ
ในวันที่ชาวพุทธขาดแคลนแล้วเนี่ย พวกเราต้องเป็นชาวพุทธที่แท้จริงให้ได้
อย่าเป็นชาวพุทธคนสุดท้ายนะ เราต้องเป็นชาวพุทธที่แท้จริงขึ้นมา
แล้วเราก็ต้องถ่ายทอดความรู้ถูก ความเข้าใจถูก คือตัวสัมมาทิฏฐิออกไปสู่คนอื่น
เราอย่ายอมเป็นชาวพุทธคนสุดท้ายนะ อย่างน้อยต้องถ่ายทอดธรรมะออกไปให้ได้
ถ้าคนเค้าถามเราว่าอะไรคือพระพุทธศาสนา อะไรเป็นเนื้อแท้ของพระพุทธศาสนา
ต้องตอบเค้าให้ถูก ว่า..สัมมาทิฏฐิ คือเนื้อแท้ของพระพุทธศาสนา
ปราศจากสัมมาทิฏฐิอย่างเดียวเท่านั้น พระพุทธศาสนาไม่มีแล้ว
ถึงจะมีสิ่งก่อสร้างใหญ่โตนะ แต่ว่าพระพุทธศาสนาไม่มี
เหลือแต่ก้อนอิฐก้อนหิน คนอื่นเค้าก็มาเหยียบย่ำทำลายเอา
งั้นการปลูกฝังสัมมาทิฏฐิเป็นงานใหญ่
คนแรกที่พวกเราต้องปลูกฝังสัมมาทิฏฐิให้เค้านะ ก็คือตัวเราเอง
เมื่อตัวเรามีสัมมาทิฏฐิแล้ว ก็พยายามถ่ายทอดสัมมาทิฏฐินี้ออกไป ตามความรู้ความสามารถของแต่ละคน
เมื่อวันสองวันนี้ก็มีพระมาถามว่าจะสอนได้ไหม หรือโยมถาม จำไม่ได้แล้ว
บอกสอนได้ แต่สอนตามที่เราเข้าใจจริงๆ นะ สอนตามที่เราแม่นจริงๆ สอนมั่วๆ ไม่ได้
ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นมีเหตุมีผลรองรับนะ ฟิตเปรี๊ยะเลย
ไม่มีที่กระดิกเลย ไม่มีที่โต้แย้งได้เลย ไม่ใช่เรื่องนึกๆ เอาเอง
ต้องเรียนให้แม่นๆ นะ อย่างบอกว่าถ้าเรารักษาศีลเป็น
เราก็สอนคนอื่นให้รักษาศีล คนรอบๆ ตัวเรา
ต้องรู้จักรักษาศีลนะ การรักษาศีลที่ดีเบื้องต้นต้องตั้งใจงดเว้นการทำบาปอกุศล ๕ อย่าง ทางกาย ทางวาจา
ศีลนี่เป็นเครื่องควบคุมพฤติกรรมทางกายทางวาจาให้เรียบร้อย
เบื้องต้นตั้งใจไว้ก่อนว่า เราจะไม่ทำผิดทางกายทางวาจา ๕ อย่างนั้นแหละ
ศีล ๕ นั้นแหละพอแล้วล่ะ
แล้วถ้าตรงนี้ยังรู้สึกยากนะ ก็พัฒนาการรักษาศีลขึ้นไป
รักษาที่กายที่วาจายาก มารักษาที่ใจ ให้มีสตินี้แหละ คอยรู้ทัน
เวลากิเลสอะไรเกิดขึ้นที่ใจ คอยรู้ทัน
ราคะเกิดขึ้นที่ใจ คอยรู้ทัน
โทสะเกิดที่จิตใจ คอยรู้ทัน
ถ้าเรารู้ทันกิเลสที่เกิดขึ้นที่ใจนี้ กิเลสจะครอบงำจิตใจไม่ได้
อย่างทันทีที่รู้ว่าโทสะเกิดขึ้น โทสะจะดับอัตโนมัติ
เพราะเมื่อไรไม่มีสติ เมื่อนั้นจะไม่มีกิเลส
เมื่อไรมีกิเลส เมื่อนั้นไม่มีสติ งั้นพัฒนาสติขึ้นมา เป็นเครื่องมือในการรักษาศีล
บางคนหัวเราะนะ บอกสอนเรื่องสติ ทำไมไม่สอนเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา
เนี่ยหลวงพ่อคำเขียนเคยพูดให้หลวงพ่อฟังว่าท่านไปเทศน์ที่แห่งหนึ่งนะ
เทศน์เสร็จท่านสอนให้มีสตินี้แหละ
พอเทศน์เสร็จนะคนก็มาว่าท่าน ว่าทำไมท่านไม่สอนตามลำดับ
ทำไมไม่สอนเรื่องการรักษาศีล การนั่งสมาธิ การเจริญปัญญา
ท่านหัวเราะนะ ตอนนั้นท่านเป็นมะเร็งนะ นอนอยู่ลุกไม่ขึ้นน่ะ
ท่านเล่าตรงนี้ให้หลวงพ่อฟังแล้วท่านหัวเราะ
บอกว่าเค้าก็ถูกของเค้าน้ออาจารย์ปราโมทย์ เราก็ถูกอย่างของพวกเรา
ถ้ามีสติก็มีศีล มีสติก็มีสมาธิ มีสติก็มีปัญญาได้
ขาดสติซะอย่างเดียวนะ ศีล สมาธิ ปัญญา ไม่มีหรอก
งั้นสติถือเป็นธรรมมีอุปการะมาก จำเป็นในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อ
สติที่วิเศษที่สุดนั้นคือสติปัฏฐาน เป็นสติที่ระลึกรู้อยู่ในกายในใจของเรานี้
ถ้าสติอื่นๆ เนี่ย สติกระจอกงอกง่อย สติโลกๆ
สติที่วิเศษมากเลยคือสติปัฏฐาน ร่างกายเคลื่อนไหวรู้สึก จิตใจเคลื่อนไหวรู้สึก
อย่างกิเลสเกิดขึ้นในใจเรา รู้สึกอยู่
กิเลสจะครอบงำจิตไม่ได้ เมื่อกิเลสครอบงำจิตไม่ได้ ศีลอัตโนมัติจะเกิดขึ้น
คนทำผิดศีลก็เพราะกิเลสครอบงำจิต
อย่างโทสะครอบงำจิตนะก็ไปฆ่าเค้าไปตีเค้า
ไปแกล้งลักทรัพย์เค้า ทำลายทรัพย์สินเค้า ไปแกล้งผิดลูกผิดเมียเค้า
ไปกล่าวร้ายโจมตีเค้า หรือไปแกล้งยกย่องสรรเสริญให้เค้าเสียผู้เสียคน
นี่ทำด้วยโทสะก็ได้นะ ไม่จำเป็นต้องไปด่าเค้านะ
แต่ว่ามันเป็นมุสาวาทเหมือนกัน มันพูดโดยเจตนาร้าย
หรือโทสะครอบงำจิต มีความเศร้าโศกขึ้นมาแล้วไปกินเหล้าเมายา
ราคะครอบงำจิต ก็ทำผิดศีล ๕ ได้ทุกข้ออีกแหละ
ราคะครอบงำจิต ก็ไปประทุษร้ายเค้าเพื่อจะชิงทรัพย์เค้าอะไรอย่างนี้
ไปยักยอก ไปขโมยเค้า ปลิ้นปล้อนหลอกลวงเค้า
ไปผิดลูกผิดเมียเค้า โกหกหลอกลวงนะ
หรือเวลาราคะเกิดขึ้น จิตใจมีความสุขกระดี๊กระด๊า
มีความสุขแล้วชวนกันไปกินเหล้าเมายา
มีความทุกข์ก็กินเหล้านะ มีความสุขก็กินเหล้า
มีความทุกข์ก็มีโทสะ มีความสุขก็มีราคะ แทรกเข้ามาเสมอเลย
คนทำผิดศีล ๕ ได้ เพราะกิเลสครอบงำจิต ตัวเดียวเท่านี้เอง
ถ้าเรามีสติ เรารู้ทันกิเลสใดๆ เกิดขึ้นที่ใจเรา
ทำไมจะรู้ไม่ได้ ? ทุกคนรู้ได้หมดแล้ว ทุกคนรู้จักอยู่แล้ว
ความโกรธเป็นยังไง ทุกคนรู้จัก
ความโลภเป็นยังไง ทุกคนรู้จัก
ความฟุ้งซ่านเป็นยังไง ทุกคนก็รู้จัก
ความหดหู่ ดีใจเสียใจ สารพัดความรู้สึก เรารู้จักอยู่แล้วแต่เราละเลยที่จะคอยรู้เท่านั้นเอง
งั้นการที่จะเจริญสติปัฏฐานเนี่ย จะมาเรียนรู้กายรู้ใจของตัวเองไม่ใช่เรื่องยากเลย
จะมีสติไปในกาย มีสติไปในใจ ไม่ใช่เรื่องยาก
ทุกคนทำได้แต่ละเลยที่จะทำเพราะไม่เห็นคุณค่า
ไม่รู้ว่าทางรอดจากวัฏฏะสงสารที่เป็นบรมทุกข์ เป็นกองทุกข์อันใหญ่นี้
อยู่ตรงที่เราเจริญสติปัฏฐานให้ได้นี้แหละ
ถ้าเราไม่เข้าใจตรงนี้นะเราก็ไปไม่รอดหรอก ก็จมอยู่ในความทุกข์เรื่อยไป
งั้นพวกเราพยายามมามีสตินะ มีสติระลึกรู้ กิเลสอะไรเกิดขึ้นที่จิตใจเราคอยรู้.
|