ว.วชิรเมธี (พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี)
|
|
|
|
๒๗. "วู้ดดี้สัมภาษณ์ท่าน ว.วชิรเมธี" แนะนำโดย คุณอรุณชัย (๒๐ ต.ค. ๒๕๕๒) |
คราวนี้คุณอรุณชัย นิติสุพรรัตน์ ส่งเมลเรื่อง "วู้ดดี้สัมภาษณ์ท่าน ว.วชิรเมธี" มาให้อ่านกันครับ (^_^) ผมอ่านดูแล้ว พบว่ามีข้อคิดดีๆ ที่หลายๆ คนอยากจะทราบแต่ไม่กล้าถาม (พระ) ตรงๆ แต่กับพิธีกรมาดกวน ปากกล้าคนนี้ "กล้า..ถาม" แถมคำถามส่วนใหญ่ ก็เป็นทำนองตั้งใจ จวก + กระซวก แต่หารู้ไม่ว่า...คำถามตรงไปตรงมาแบบนี้ กลับทำให้ได้คำตอบดีๆ พรั่งพรูออกมาจากท่าน ว. มากมายเหมือนกัน ก่อนอื่นเรามาอ่านเมลโปรยหัว จากคุณอรุณชัยก่อนนะครับ
*'จาก link นี้ครับ'* เห็นเหมือนกันแต่ไม่ได้สนใจอะไรนัก พอมีคนไปโพสต์ในลานธรรมก็เลยลองเข้าไปอ่าน ไม่น่าเชื่อว่ามีอะไรดีๆ กว่าที่คิดไว้เยอะ ธรรมะชุดนี้ เหมาะอย่างยิ่งกับการอยู่กับโลก แต่การพ้นโลกนั้น เราท่านทั้งหลายรู้กันดีอยู่แล้วมิใช่รึ ท่านก็สอนไว้ถึงเป้าหมายแท้ๆ ของมนุษย์นั่นแล เพียงแต่ท่านไม่ได้บอกวิธีการเท่านั้น ลองอ่านกันดูครับ
พ่อไก่อู
|
(ถอดบทสัมภาษณ์จากรายการ "วู้ดดี้ เกิดมาคุย" ออกอากาศทางช่อง ๙ อสมท. เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๒)
วู้ดดี้ : มีหลายคนพูดว่าวู้ดดี้ไม่เหมาะสมที่จะสัมภาษณ์พระ ท่านมองว่าอย่างไรครับ
ท่าน ว.วชิรเมธี : ก็คงต้องย้อนกลับไปถามว่าคุณเอาอะไรมาวัดว่าคนอย่างวู้ดดี้ไม่เหมาะที่จะคุยกับพระ พระอาจารย์มองในเวลานี้ ไม่มีใครเหมาะเท่าวู้ดดี้เลยนะ ถ้าวู้ดดี้ไม่มาสัมภาษณ์พระ เกิดมาคุยไม่สมบูรณ์แบบ
วู้ดดี้ : ก้าวร้าว พูดตรง ถามตรง มีความรุนแรงบ้างในวาจา ไม่เหมาะสมกับพระ
ท่าน ว.วชิรเมธี : พระอาจารย์คิดว่าพระไม่ได้หมายความว่าต้องเรียบร้อยแบบผ้าพับไว้ เราไปดูที่เนื้อหาสาระได้มั้ย หลายครั้งที่พระอาจารย์เปิดไปเจอวู้ดดี้สัมภาษณ์ บางทีบางตอนดีกว่าพระบางรูปเทศน์ เพราะฉะนั้นถ้าเราก้าวข้ามรูปลักษณ์ภายนอก เจาะไปที่เนื้อหาสาระก็ไม่มีปัญหาที่วู้ดดี้จะคุยกับพระไม่ได้
วู้ดดี้ : งั้นในวันนี้ผมสามารถที่จะถามพระอาจารย์ได้ทุกเรื่อง
ท่าน ว.วชิรเมธี : ก็แล้วแต่จะถาม แต่พระอาจารย์จะตอบทุกเรื่องหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
วู้ดดี้ : พระอาจารย์บวชตั้งแต่อายุยังน้อย เป็นเณรอายุ ๑๒
ท่าน ว.วชิรเมธี : ๑๓
วู้ดดี้ : แล้วเป็นพระมาตลอดชีวิต ทุกวันนี้ที่ผ่านมาท่านจะเทศน์เรื่องของแฟน เรื่องของชีวิต การมีกิ๊ก การไม่มีกิ๊ก แต่ท่านไม่ได้คุ้นเคยกับทางโลกเลย ท่านสามารถที่จะเข้าใจโลกและเทศน์กลับไปสู่โลกได้อย่างไรในเมื่อท่านอยู่กับวัดตลอดเวลา
ท่าน ว.วชิรเมธี : เอางี้ วู้ดดี้เคยเห็นคนที่ติดยาเสพติดมั้ย
วู้ดดี้ : เคยเห็นครับ
ท่าน ว.วชิรเมธี : แล้วคุณรู้ได้อย่างไรว่าคนติดยาเสพติดมันอันตรายมาก คุณไม่เคยลองสักนิดนึง
วู้ดดี้ : ก็เห็นผลมัน เห็นว่าเขาไม่ไปโรงเรียน สุดท้ายเขาต้องเข้าโรงพยาบาลและตาย
ท่าน ว.วชิรเมธี : ก็นั่นไง พระอาจารย์ก็ไม่จำเป็นต้องไปลองมีกิ๊ก พระอาจารย์ก็เห็นผลของมันเหมือนกัน พระอาจารย์ก็อนุมานเอาได้
วู้ดดี้ : แต่พระอาจารย์อยู่ในวัด พระอาจารย์ไม่ได้ไปใช้ชีวิตอยู่กับเขา
ท่าน ว.วชิรเมธี : พระอาจารย์อยู่ในวัด แต่ไม่ได้หมายความว่าพระอาจารย์ถูกปิดหูปิดตา ตรงกันข้ามอยู่ในวัดบางทีรู้ดีกว่าชาวโลกด้วยซ้ำไป เพราะชาวโลกเปรียบเสมือนนักมวยที่อยู่บนเวที คุณชกสะเปะสะปะ คุณถูกต่อย คุณถูกน็อก คุณมึนไปหมด คนอยู่ข้างเวทีเห็นชัดที่สุดว่าคุณชกยังไง พระไม่จำเป็นต้องไปตะลุมบอนกับกิเลสเหมือนคุณหรอก แต่พระอยู่ข้างเวที พระรู้ว่ากิเสลมันร้ายแค่ไหน
วู้ดดี้ : งั้นมีกิ๊กผิดมั้ยครับถ้าเต็มใจทั้งคู่
ท่าน ว.วชิรเมธี : เต็มใจทั้งคู่ กิ๊กไม่ใช่ชู้ แต่ถ้าแฟนรู้ต้องเลิกใช่มั้ย นี่นิยามของกิ๊ก
วู้ดดี้ : แต่ถ้าแฟนไม่รู้และทั้งคู่เต็มใจที่จะเป็นกิ๊กกัน
ท่าน ว.วชิรเมธี : ถ้าไม่มีอะไรผิดปกติในระบบความสัมพันธ์แบบนี้ทำไมคุณต้องเลิก คุณก็คบกันต่อไปสิ
วู้ดดี้ : ก็คงรู้สึกผิดไงฮะ
ท่าน ว.วชิรเมธี : ก็นั่นแหละ ถ้ามันรู้สึกผิดก็แสดงว่ามันชอบธรรมมั้ยล่ะ
วู้ดดี้ : ไม่
ท่าน ว.วชิรเมธี : ก็มันไม่ชอบธรรม คำตอบมันอยู่ในตัวอยู่แล้วว่ามันไม่ดี
วู้ดดี้ : งั้นสำหรับผู้ชายบางคนมีภรรยาสองสามคน แล้วภรรยาอยู่บ้านหลังเดียวกัน กินนอนด้วยกันได้ โอเคไม่มีปัญหา เมียคนที่หนึ่งคนที่สองคนที่สามยอมรับซึ่งกันและกัน อย่างนี้ครอบครัวนี้ก็ไม่ถือว่าเป็นการทำบาป
ท่าน ว.วชิรเมธี : กิ๊กหมายถึงความสัมพันธ์ที่ละเมิดจริยธรรมทางเพศ แต่ที่คุณโยมวู้ดดี้เล่ามาน่ะ เขารู้เห็นเป็นใจกันทั้งหมดใช่มั้ย ถูกต้องตามกฎหมายทั้งหมดใช่มั้ย
วู้ดดี้ : ไม่ถูกต้องตามกฎหมายเพราะไม่มีกฎหมายรองรับ
ท่าน ว.วชิรเมธี : แต่เขาบริหารจัดการได้มั้ยล่ะ
วู้ดดี้ : ได้ครับ
ท่าน ว.วชิรเมธี : แล้วภรรยาทั้งสามคนเขายอมรับได้มั้ยล่ะ
วู้ดดี้ : ยอมรับหมดครับ
ท่าน ว.วชิรเมธี : ก็ถ้ารับได้หมดก็ไม่เป็นปัญหา
|
|
วู้ดดี้ : ท่าน ว. ตั้งแต่โตขึ้นมาผมสังเกตว่าคนมักจะชวนผมเข้าวัด ไปทำบุญกันเถอะ ไปนั่งสมาธิในวัด ไปไหว้พระแล้วคุณจะมีความสุข แต่ผมเห็นหลายคนเขาไปเพราะเขามีความทุกข์เรื่องเพื่อน เรื่องงาน เรื่องแฟน ชีวิตเป็นทุกข์เลยต้องเข้าไปในวัด แต่ผมเอง ผมมีความรู้สึกว่าผมไม่มีตรงนั้น ผมไม่ได้มีความต้องการที่จะไปไหว้พระ ไม่มีความต้องการที่จะไปเข้าวัด ถามว่าแล้วสุดท้ายวู้ดดี้จะต้องเข้าวัดทำไมล่ะครับพระอาจารย์
ท่าน ว.วชิรเมธี : จริงๆ วัดก็ไม่เคยเรียกร้องให้ใครมาเข้านะ พระอาจารย์ก็ไม่เคยเห็นพระพุทธเจ้าบอกว่ามาเข้าวัดกันเถอะ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมะแล้วพระองค์ก็เดินไป ใครอยากฟังธรรมก็มาฟังเท่านั้นเอง ก็มีแต่เราคนไทยนี่แหละที่บอกว่าเข้าวัดๆ
วู้ดดี้ : ต้องไปไหว้วัดนี้อยู่บนภูเขา วัดนี้ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ต้องบินไปถึงเชียงใหม่ ต้องมาเชียงราย ต้องลงมาภาคใต้ ต้องวัดนี้ โห...สุดยอดมาก อยู่ใต้น้ำ พระธาตุนี้ศักดิ์สิทธิ์มาก คนก็ต้องบินไป แล้วบางทีเราก็คล้อยตามไปด้วย อ๋อเหรอ ถ้าไหว้พระวัดนี้ที่องศาแบบนี้ ไหว้ทิศอย่างนี้แล้วกราบอย่างนี้ คุณจะมีบุญมากกว่าทุกคนในประเทศชาตินี้ จริงหรือเปล่า
ท่าน ว.วชิรเมธี : พระอาจารย์ฟังดูมันยิ่งไม่ใช่ไหว้พระตามแนวพุทธเลยนะ เพราะว่าไหว้พระตามแนวพุทธมันไหว้ที่ใจ ฉุดเข้าวัดนี่ประเสริฐมั้ยล่ะ
วู้ดดี้ : ครับ
ท่าน ว.วชิรเมธี : เพราะฉะนั้นโชคดีขนาดไหนที่มีคนชวนคุณเข้าวัดมาตลอดเวลา คนที่โชคร้ายก็คือ ไป...คืนนี้ไปผับมั้ย คืนนี้ไปอาร์ซีเอมั้ย |
วู้ดดี้ : แต่ถ้าไปแล้วไม่ดื่มเหล้าล่ะพระอาจารย์ ไปแล้วมันเต้นแล้วมีความสุข ผมก็มีความสุข มันร้องเพลงไปด้วย แล้วมันได้ปลดปล่อย นั่นมันคือความสุข มันไม่ใช่ความทุกข์ไม่ใช่เหรอพระอาจารย์
ท่าน ว.วชิรเมธี : พระอาจารย์อยากจะบอกว่านั่นเป็นความทุกข์ที่รอเวลาอยู่
วู้ดดี้ : ยังไงครับ
ท่าน ว.วชิรเมธี : ผลไม้ทุกผลมีโอกาสที่จะหล่นมั้ย
วู้ดดี้ : มีครับ
ท่าน ว.วชิรเมธี : คนทุกคนก็เหมือนผลไม้ ขณะที่มันมีความสุขก็มีความทุกข์แฝงอยู่ในนั้นตลอดเวลา แต่ถ้าคนที่ไม่เคยเข้าวัดไม่เคยเรียนธรรมะเลยนะ วันนี้คุณจะสุข พรุ่งนี้คุณจะทุกข์ ชีวิตคุณจะสุขๆ ทุกข์ๆ กระเด็นกระดอน
วู้ดดี้ : เพราะมีอบายมุขล้อมรอบเหรอ
ท่าน ว.วชิรเมธี : คุณมีโอกาสที่จะทุกข์ได้ตลอดเวลา วันนี้ทุกข์ยังไม่มาถึงแต่ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มา ทุกข์ไม่ได้เกิดจากข้างนอก ทุกข์เกิดจากในนี้ เมื่อเรามีความเห็นผิด คิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว ทุกข์อยู่ตรงนั้น นรกก็อยู่ตรงนั้น
ตอนนี้ผมยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องที่ท่านพูดสักเท่าไหร่นัก ทำไมคนเรามีความสุขแล้วต้องมีทุกข์รออยู่ คิดแบบนั้นก็ไม่ต้องมีกันพอดีสิครับ ผมชักจะหวั่นไหวแล้วล่ะครับว่าวันนี้ผมจะได้อะไรกลับไปหรือเปล่า
เมื่อวู้ดดี้เดินเข้ามาที่ศูนย์วิปัสสนาอาศรมอิสรชน จ.เชียงราย ผมแปลกใจเลยล่ะครับ เพราะจะมีป้ายติดตามต้นไม้เต็มไปหมด ท่าน ว.วชิรเมธีบอกผมว่า เหล่านี้คือต้นไม้พูดได้
วู้ดดี้ : พึงชนะคนชั่วด้วยความดี มีให้อ่านทุกต้น
ท่าน ว.วชิรเมธี : มี คุณโยมเดินไป คุณโยมจะเห็นทุกหนทุกแห่ง อาตมามีความรู้สึกว่าเวลาเดินมาถ้าพระอาจารย์ไม่อยู่ ต้นไม้เทศน์แทนก็ได้
วู้ดดี้ : ผมกลัวมากว่าที่แห่งนี้ห้ามฆ่าสัตว์ แต่มดมันเยอะมาก ถ้าผมเหยียบมดตายผมจะตกนรกมั้ยครับ
ท่าน ว.วชิรเมธี : เจตนาจะเหยียบมีมั้ยล่ะ
วู้ดดี้ : ไม่มี
ท่าน ว.วชิรเมธี : ก็ไม่บาปก็แค่นั้นเอง วัดกันที่เจตนา กรรมไม่มี บาปไม่มีแก่ผู้ไม่เจตนาแค่นั้นเอง
วู้ดดี้ : ขับรถบนไฮเวย์เหยียบ 180 เพราะจะรีบไปหาภรรยาที่กำลังคลอดลูก แต่ดันไปชนคนแก่ตาย ไม่มีเจตนา บาปมั้ยครับ
ท่าน ว.วชิรเมธี : ก็เป็นแค่กิริยาไม่ถือเป็นกรรม แต่อย่าทำบ่อยๆ
วู้ดดี้ : โอเค อันนั้นผมแค่ยกตัวอย่างมันไม่เกี่ยวกับผมนะครับพระอาจารย์
ท่าน ว.วชิรเมธี : เจริญพร
รายการของผมจะเสนอประเด็นหนึ่งอยู่บ่อยๆ ล่ะครับ ผมก็เลยอยากจะรู้ว่าท่าน ว. คิดยังไง
วู้ดดี้ : พระอาจารย์เคยดูหมอดูมั้ยครับ
ท่าน ว.วชิรเมธี : ไม่จำเป็น พระอาจารย์คิดว่าคนที่รู้จักตัวเองไม่มีใครไปหาหมอดู
วู้ดดี้ : พระอาจารย์เชื่อเรื่องหมอดูมั้ยครับ
ท่าน ว.วชิรเมธี : ไม่เชื่อ พระอาจารย์เชื่อกฎแห่งกรรม กฎแห่งการกระทำ กฎที่บอกว่าชีวิตของเราจะเป็นอะไร ยังไง ขึ้นอยู่กับเรา ดีชั่วอยู่ที่ตัวเรา สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว
วู้ดดี้ : แต่บางทีที่หมอดูแม่นมาก พระอาจารย์ จนบางทีทำให้เราหวั่นไหว โอ้โห...มันเป๊ะว่ะ เราจะเอาชนะตรงนี้ได้ยังไง
ท่าน ว.วชิรเมธี : มันก็แล้วแต่เรานะ ถ้าคุณเลือกที่จะเชื่อ หมอดูก็จะมีอิทธิพลกับคุณ ถ้าคุณเลือกที่จะไม่เชื่อ หมอดูก็จะไม่มีอิทธิพลกับคุณ เพราะฉะนั้นมันไม่เป็นปัญหา มันอยู่ที่เรานะ แต่พระอาจารย์พูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่าพระอาจารย์รังเกียจหมอดู หมอดูก็เป็นศาสตร์แขนงหนึ่ง อาจจะเรียกว่าเป็นสถิติศาสตร์เพราะว่ากว่าที่จะประมวลองค์ความรู้ ประมวลเหตุการณ์ต่างๆ แล้วมาฟันธงให้ใครมันมีที่มาที่ไป พระอาจารย์ก็เคยเรียนวิชานี้ แต่พระอาจารย์ไม่ได้ใช้เท่านั้นเอง ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ว่าหมอดูทายแม่นหรือไม่แม่นนะ ปัญหามันอยู่ที่หมอดูไปทายให้คนที่เต็มใจให้ทายหรือเปล่า ถ้าเขาเต็มใจให้ทาย คุณทายไปเหอะ แต่ถ้าเขาไม่อยากให้คุณดูแล้วคุณดัดจริตไปดูให้เขา คุณละเมิดสิทธิมนุษยชนนะรู้มั้ย
วู้ดดี้ : นี่พระอาจารย์ไม่ได้แขวะใครใช่มั้ยครับ
ท่าน ว.วชิรเมธี : ไม่ได้แขวะเลย พระอาจารย์ไม่ได้พูดถึงใครเลยในประโยคนี้ เป็นประโยคที่ไม่มีประธานไม่มีกรรมมีแต่กิริยาล้วนๆ
วู้ดดี้ : ฮ่าๆๆๆๆ
วู้ดดี้ : การห้อยพระเลยดีกว่าฮะ เขาสามารถที่จะทำให้ตัวเขาเองพ้นจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทางอากาศ ทางน้ำได้หมด ต้องหลวงพ่อนี่ หลวงพ่อนั่น คือเต็มไปหมดเลย อันนี้มันจริงมั้ย
ท่าน ว.วชิรเมธี : ก็ถ้ามันจริงอย่างนั้น กฎแห่งกรรมพระพุทธเจ้าก็เป็นหมันน่ะสิ แสดงว่าการห้อยพระไปง้างกฎแห่งกรรม มันมีกฎอีกกฎหนึ่งที่เหนือกฎแห่งกรรมนะเนี่ย คือการห้อยพระแล้วมันไม่เป็นอะไรเลย ถ้ามันจริง ประเทศไทยผลิตพระยี่ห้อนี้ส่งออกนอก แล้วส่งคนไทยไปสงครามโลกเลยนะ เราจะเป็นมหาอำนาจโลก เพราะอะไรทำอะไรเราไม่ได้เลย ไม่ต้องไปวิจัยวิจารณ์อะไรแล้ว เอาพระรุ่นนี้ไป รับรองนะ
วู้ดดี้ : มันบาปมั้ยสำหรับคนทำธุรกิจตรงนี้ คือพิมพ์พระเยอะๆ แล้วก็ต้นทุนอาจจะซัก ๕ บาทแต่อัพราคาเป็นค่าเช่ารูปละ ๑,๕๐๐ แล้วก็ได้กำไรเป็นล้าน สุดท้ายเขาช่วยคนไทยจริงมั้ยฮะ
ท่าน ว.วชิรเมธี : บาปไม่บาปมันวัดกันที่เจตนา คุณห้อยพระ คุณปั๊มพระให้คนบูชา คุณอยู่กับพระนะ แต่บางทีคุณอาจจะไม่ได้อยู่กับพุทธ ถามว่ามันทำแล้วดีหรือไม่ดีให้วัดที่เจตนา ถ้าเขามีเจตนาว่าอยากให้พระที่เขาปั๊มออกมาเยอะๆ เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็นสัญลักษณ์ของความมีศีลมีธรรมนี้ไม่บาปแต่ถ้าเขาคิดแต่ว่าที่ฉันปั๊มออกมารุ่นนี้แล้วฉันจะรวยเป็นร้อยล้านเป็นพันล้าน เขากำลังทำธุรกิจพุทธพาณิชย์ ๑๐๐% น่าเป็นอย่างนี้ไม่ได้บุญ
วู้ดดี้ : มาพูดถึงเรื่องนี้ดีกว่าครับพระอาจารย์ เรื่องของกรรม ช่วงนี้จะมีคนพูดถึงเยอะมาก แปลกนะทำไมมันกลายเป็น trend เมื่อปีที่ผ่านมา แก้กรรม จนกระทั่งศาสนาพุทธเองหลายๆ วัดผมก็ยังเห็น อ้าว...มาที่วัดนี้แล้วเราจะมาแก้กรรมได้ ชาติที่แล้วคุณมีกรรม ชาตินี้คุณจะต้องแก้แล้วชาติหน้าคุณจะได้ดีขึ้น ถามนะครับว่าตกลงมันจริงมั้ย การแก้กรรมด้วยการตัดกรรม
ท่าน ว.วชิรเมธี : คนไทยนี่ชอบแก้กรรม ก็ทำเหมือนว่าเรากำลังถูกมัดเอาไว้ก็เลยต้องมาแก้ หรือบางทีก็ต้องทำพิธีตัดกรรม ก็เหมือนกันว่ากรรมมันเป็นผ้าผืนหนึ่งหรือยังไง เป็นเชือกเส้นหนึ่งหรือยังไง กรรมก็คือตัวความคิดของเรานั่นเอง ฉะนั้นมันง่ายนิดเดียวนะถ้าจะตัดกรรมก็เปลี่ยนความคิด
วู้ดดี้ : แล้วมันมีกรรมจริงมั้ยครับ โลกใบนี้ มันมีเวรมันมีกรรมมั้ย ถามจริงๆว่ามันมีชาติที่แล้ว ชาตินี้ ชาติหน้า มันมีจริงมั้ย
ท่าน ว.วชิรเมธี : คือตามหลักพุทธมันมี
วู้ดดี้ : แต่มันพิสูจน์ไม่ได้น่ะพระอาจารย์
ท่าน ว.วชิรเมธี : แล้วมันจะเสียหายตรงไหนถ้ามันพิสูจน์ไม่ได้
วู้ดดี้ : วู้ดดี้มีความรู้สึกว่าเวลาคนเราตาย มันก็แค่กลายเป็นผงธุลี แล้วมันก็ลงไปฝังในดินหรือเป็นขี้เถ้า มันจะไปชาติหน้าได้จริงเหรอ มันมีจริงเหรอ
ท่าน ว.วชิรเมธี : มี หลายสิ่งหลายอย่างที่เราเอาเข้าห้องแล๊ปไม่ได้นะ มันก็มีจริงๆ ฉะนั้นเราอย่าไปคิดว่าความจริงมันต้องเป็นความจริงที่พิสูจน์ได้เท่านั้น อย่างความรักก็ดี ความโลภก็ดี ความโกรธก็ดี ความหลงก็ดี อิจฉาตาร้อนก็ดี เอาเข้าห้องแล็ปได้มั้ย
วู้ดดี้ : ไม่ได้
ท่าน ว.วชิรเมธี : แล้วมันมีมั้ย ความรักมีมั้ย ความโลภน่ะมีมั้ย กามารมณ์น่ะมีมั้ย
วู้ดดี้ : เยอะ
ท่าน ว.วชิรเมธี : เอาไปพิสูจน์ได้มั้ยของพวกนี้
วู้ดดี้ : ไม่ได้
ท่าน ว.วชิรเมธี : นั่นสิ แต่มันมี เพราะฉะนั้นชาติหน้าเราก็ไม่ต้องไปคิดว่าพิสูจน์ยังไง พิสูจน์ไม่ได้แล้วมันจะมียังไง
วู้ดดี้ : อาจารย์ไม่เคยเห็นใช่มั้ยฮะ
ท่าน ว.วชิรเมธี : ของพวกนี้เขาไม่เห็นด้วยตา ต้องเห็นด้วยปัญญาสิ ใช่มั้ยล่ะ เพราะฉะนั้นเรื่องพวกนี้คุณจะสงสัยก็ได้ไม่ได้ทำให้พุทธศาสนาสูงขึ้นหรือต่ำลง สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่โลกหน้ามีหรือไม่มีนะ มันอยู่ที่ว่าโลกนี้มันมีแล้วคุณใช้ชีวิตในโลกนี้ยังไง
เป็นครั้งแรกน่ะครับที่แขกรับเชิญทำให้ผมอึ้ง เพราะหลายเรื่องที่ผมถามคำถามยากๆ ท่านก็ตอบออกมาได้ง่ายๆ เสียเหลือเกิน แต่ผมก็ยังไม่ได้เห็นด้วยกับท่านทั้งหมดนะครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชาตินี้ชาติหน้าและอีกหลายเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ ผมอดคิดไม่ได้นะครับว่ายังไงธรรมะก็ยังเป็นเรื่องที่ห่างไกลจะตัวผมอยู่ดี
|
|
ยังมีอีกหลายเรื่องที่ผมสงสัย พุทธศาสนิกชนก็ต้องทำใจหน่อยนะครับ เพราะคำถามที่ผมจะถามนี้อาจทำผมกำลังจะท้าทายท่าน
วู้ดดี้ : ขอพูดถึงพุทธพาณิชย์หน่อยดีกว่า ท่านเคยได้ยินมั้ยฮะ ถ้าบางคนจะบอกว่าพระเดี๋ยวนี้จะเริ่มค้าขายกันมากขึ้น ออกตามทีวี ออกตามรายการต่างๆ ขายหนังสืออะไรมากมาย ท่านเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
ท่าน ว.วชิรเมธี : มันจะเป็นพุทธพาณิชย์หรือไม่ มันไปวัดที่เจตนาสิ ถ้าพระอาจารย์เขียนหนังสือขาย มีเงินมีทองร่ำรวยมหาศาลแล้วก็ทำตัวเป็นหลวงเสี่ย พระอาจารย์กำลังทำพุทธพาณิชย์ แต่การเทศน์แต่ละครั้งฟังได้แค่คนเดียวเหมือนวู้ดดี้มาคุยกับพระอาจารย์ที่เชียงราย ถ้าเราถอดบทสนทนานี้พิมพ์เป็นหนังสืออ่านกันทั่วโลกทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ภาษาอะไรก็ได้ คนเปิดหูเปิดตาและเรียนรู้ธรรมะ พระอาจารย์ไม่ได้คิดถึงเงินที่จะได้ คิดถึงแต่ประโยชน์ที่จะได้แก่ชาวโลก อย่างนี้เรียกว่าพาณิชย์ได้มั้ย ไม่ได้ เพราะฉะนั้นจะเป็นพุทธพาณิชย์ก็ต่อเมื่อเรามุ่งไปที่กำไรคือเม็ดเงิน แต่ถ้าเรามุ่งไปที่กำไรคือสติปัญญา คือความเฉลียวฉลาด คือความรู้ คือความหายโง่งมงาย ไม่มีทางเป็นพุทธพาณิชย์
วู้ดดี้ : แล้วส่วนใหญ่กำไรที่ได้จากการตีพิมพ์อะไรต่างๆ หรือว่ากับหลายๆ อย่างที่เราทำ ท่านเอาเงินนั้นไปบริจาคต่อยังไง หรือว่าเอาไปใช้ลงทุนต่อยังไง
ท่าน ว.วชิรเมธี : พระอาจารย์ใช้เป็นทุนการศึกษาทั้งหมด ไม่เชื่อไปดูได้เลย พระอาจารย์สร้างโรงเรียนให้สามเณรที่วัดบ้านเกิดของพระอาจารย์ มีนักเรียนที่รับทุนจากพระอาจารย์ตั้งแต่ต้นจนถึงทุกวันนี้นะ ทั้งพระทั้งเด็กทั้งเยาวชนเป็นพันคน |
วู้ดดี้ : อย่างนึงที่ค้างคาใจก็คือเรื่องของเรต เอางี้ดีกว่ามีคนบอกว่าพระเดี๋ยวนี้ออกตามรายการต่างๆหรือว่าจะนิมนต์ไปไหนต่อไหน ไปสถานที่บางสถานที่ที่พิเศษจะต้องมีเรต เป็นแสนบ้าง เป็นล้านบ้าง วันนี้ผมมาเองยังถามทีมงานเลยว่าคุยกับท่าน ว.วชิรเมธีกี่บาท จริงมั้ยฮะว่ามันเป็นล้านๆ เลยหรือมันยังไง
ท่าน ว.วชิรเมธี : พระอาจารย์คิดว่าคนคิดอย่างนี้ต่ำนะ ไม่ใช่ว่าเรตมันต่ำ คือพระอาจารย์คิดว่า เขาคิดว่าพระเป็นดารา
วู้ดดี้ : ท่านมีสังกัดมั้ยครับ
ท่าน ว.วชิรเมธี : ไม่มี วันก่อนมีคนโทรศัพท์มาหาพระอาจารย์ ขอโทษนะครับต้องขออนุญาตสังกัดพระอาจารย์มั้ย พระอาจารย์บอกว่า โยม...อาตมาเป็นพระนะ ไม่ได้เซ็นสัญญากะค่ายไหนเลยนะ ไม่ใช่ซูเปอร์สตาร์ เพราะฉะนั้นจะมีใครสูงไปกว่าอาตมา อยากนิมนต์อาตมา อาตมาเป็นต้นสังกัดของตัวเอง เวลานิมนต์อย่ามาถามเรต ถามอย่างนี้ถือว่าดูถูกกันมากเลย แต่อาตมาต้องทำความเข้าใจเพราะคนมักจะถาม เพราะฉะนั้นนิมนต์มาเลยนะ ถ้าพระอาจารย์ ๑. ว่าง ๒. เห็นว่ามีประโยชน์ ได้เจอกันแน่นอน
วู้ดดี้ : มีงานไหนที่ไปแล้วงงมั้ยฮะ แบบว่าเอ๋อเลย มีมั้ยครับ
ท่าน ว.วชิรเมธี : ครั้งหนึ่งพระอาจารย์ไปบรรยายงานแห่งหนึ่งที่โรงแรม ถัดจากพระอาจารย์เขากำลังจะเดินแบบกัน แล้วเขาก็ขี้เกียจตั้งธรรมาสน์ต่างหากก็ให้เทศน์บนแคทวอร์ค
วู้ดดี้ : ฮ่าๆๆๆๆ จริงรึเปล่าฮะ
ท่าน ว.วชิรเมธี : จริง...รู้สึกว่าวันนี้มาผิดฝาผิดตัว นางแบบทั้งนั้น
วู้ดดี้ : แล้วท่านก็มายืนกลางแคทวอร์คเหรอครับ
ท่าน ว.วชิรเมธี : ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่สถานที่นะ ถ้าใจคุณพร้อมที่ไหนก็ได้ ไม่เป็นปัญหา
วู้ดดี้ : วัดอยู่ที่ใจใช่มั้ย
ท่าน ว.วชิรเมธี : ถูกต้อง ถ้าคุณเป็นคนดีแล้ว นั่นแหละคุณบรรลุวัตถุประสงค์ของการมีวัด วัดอยู่ในใจคุณแล้ว
วู้ดดี้ : ชีวิตผมทุกวันนี้ต้องเข้าวัดก่อน ชัวร์
ท่าน ว.วชิรเมธี : อาการอย่างนี้มันต้องเข้าแหละ
วู้ดดี้ : ท่านชมใช่มั้ยครับ
ท่าน ว.วชิรเมธี : ชม มั่นใจว่าชม
วู้ดดี้ : วู้ดดี้มี twitter ไว้ล่าสุดเพื่อที่จะมีการโต้ตอบ real time กับคุณผู้ชมทางบ้าน วู้ดดี้ได้ฝากหัวข้อเอาไว้ว่าวู้ดดี้จะได้มีโอกาสเจอกับท่าน ว. ใครอยากจะฝากอะไรไว้บ้างมั้ย ประเด็นหรือว่าคำถาม ปรากฎว่ามีคนตอบมาเป็นหลักร้อย เยอะมาก คำถามน่าสนใจมาก วู้ดดี้ขอคัดออกมาซักคำถามสองคำถามแล้วกันนะครับ
มีอยู่คนหนึ่งถามมาว่า เราไม่เคารพพระที่เราไม่ชอบหรือที่ประพฤติมิชอบแต่ยังเป็นพระ บาปมั้ยครับ
ท่าน ว.วชิรเมธี : ก็ไม่บาป คนจะเคารพใครสักคนหนึ่งอย่างน้อยเขาต้องดีกว่าคุณใช่มั้ย ก็ถ้าคุณตระหนักว่าเขาไม่ได้ดีกว่าคุณ คุณไม่เคารพก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร ฉะนั้นเป็นเรื่องปกติ ถ้าไม่มีความดีให้เราเคารพ ท่านก็ไม่ได้รับการเคารพ
วู้ดดี้ : แม้ว่าท่านจะห่มผ้าเหลืองก็ตามที
ท่าน ว.วชิรเมธี : มันก็สมเหตุสมผลอยู่แล้ว ใช่มั้ยล่ะ ตรงกันข้ามถ้าเราไปเคารพในคนที่ไม่ควรเคารพสิ อันนี้จึงบาป
วู้ดดี้ : ถ้าหากให้เอานักการเมือง หรือแกนนำเหลืองแดงมาให้ท่านเทศน์ ท่านจะเทศนาอะไรครับให้เขายอมจับมือกัน
ท่าน ว.วชิรเมธี : หนึ่ง...อยากจะฝากประโยคสั้นๆ ว่าอย่าเห็นแก่ตัวจนไม่เห็นหัวประเทศไทย ประโยคที่สองพระอาจารย์จะบอกว่าต้องยอมถอยเพื่อที่จะก้าวไปข้างหน้า คือถอยนี้ไม่จำเป็นต้องถอยหลังนะ พระอาจารย์คิดว่าเราสามารถถอยไปข้างหน้าได้ ถ้าถอยแล้วทำให้ประเทศชาติของเราราบรื่นแล้วก็เดินต่อไปได้ ก็ขอฝากสองเรื่อง
วู้ดดี้ : ทุกวันนี้คนไทยเกิดอาการจิตตก จิตตกมาก ผมเลยถามว่าคนเราถ้าจิตตกจะมีวิธีแก้ยังไง ผมไปไหนเจอจิตตกๆ
ท่าน ว.วชิรเมธี : จิตตกก็ต้องยกจิตนะ คนส่วนใหญ่จิตตกก็ปล่อยให้ตกใช่มั้ย
วู้ดดี้ : ครับ มันจะยกยังไงฮะ
ท่าน ว.วชิรเมธี : ยกจิตหมายความว่า ต้องออกจากสภาพแวดล้อมอย่างนั้น คุณไปคุยกับคนๆ นี้แล้วมันคุยแต่การเมืองๆๆ จนคุณรู้สึกแย่ไปเลย คุณก็เลิกคุยสิ ไปคุยกับคนอื่น อย่างน้อย ๓ ปี ๕ ปีใช่มั้ยที่ผ่านมา วู้ดดี้ได้เรียนรู้มั้ย ได้รู้เช่นเห็นชาตินักการเมืองไทยมั้ย นี่คือสิ่งดีมากนะที่นักการเมืองสายพันธุ์นี้ได้มอบให้แก่เรา
เขากำลังทำทุกอย่างให้เห็นว่านักการเมืองสายพันธุ์นี้จะเลวได้ถึงที่สุดขนาดนี้ พอเราเรียนรู้ถึงที่สุดแล้ว เชื่อมั้ย จากนี้ไป ๑๐๐ ปีข้างหน้า เมืองไทยจะไม่กลับมาตรงนี้อีก
วู้ดดี้ : เพราะว่าคนเรามีความรู้มากขึ้นถูกมั้ย ในการที่จะดูออกว่าคนนี้เป็นคนเลว
ท่าน ว.วชิรเมธี : ถูกต้อง เพราะฉะนั้นถ้ามองโลกในแง่ดี พระอาจารย์กลับรู้สึกว่าวันเวลาช่วงนี้เป็นช่วงที่ดีที่สุดช่วงหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย เพราะเราได้เรียนรู้ครั้งใหญ่พร้อมกันทั้งประเทศ ห้องเรียนประชาธิปไตยเปิดให้เราได้ไป take course พร้อมกัน
ท่าน ว.วชิรเมธี : ได้พาผมเดินขึ้นมาถึงยอดเขาของอาศรมแห่งนี้แล้วผมก็ได้พบกับหลวงพ่อยิ้มที่งามที่สุดครับ
วู้ดดี้ : จริงๆ วู้ดดี้มาจากวุฒิธรใช่มั้ย ทีนี้วุฒิชัยชื่อของท่านแปลว่าอะไร
ท่าน ว.วชิรเมธี : วุฒิชัยใช่มั้ย ก็แปลว่าเจริญด้วยชัยชนะ วุฒิธรของคุณโยมคือทรงไว้ซึ่งชัยชนะ เวลาไปเมืองนอกฝรั่งเขาไม่เรียกพระอาจารย์ว่าพระมหาวุฒิชัย เขาออกเสียงไม่ได้ เขาเรียกว่ามาสเตอร์วู้ดดี้
วู้ดดี้ : มาสเตอร์วู้ดดี้
ท่าน ว.วชิรเมธี : เจริญพร ก็พระอาจารย์วู้ดดี้
วู้ดดี้ : โห...ถ้าอย่างนั้น ถ้าเกิดว่าผมไปบวชมั่ง ก็จะมีสองวู้ดดี้สิ
ท่าน ว.วชิรเมธี : ๒ ว.
วู้ดดี้ : ก็มี ว.หนึ่ง ว.สอง
ท่าน ว.วชิรเมธี : เจริญพร
วู้ดดี้ : ถ้าผมเป็นพระ ผมโทรหาท่านก็ ว.หนึ่ง นี่ ว.สอง ได้มั้ยครับ
ท่าน ว.วชิรเมธี : ได้
วู้ดดี้ : ฮ่าๆๆๆๆ น่าจะเป็นอะไรที่ดี
ขึ้นมาทั้งทีก็ต้องไหว้พระขอพร และขออีกหลายอย่างที่ผมจะอยากขอ ซึ่งผมเพิ่งรู้ตอนนี้แหละครับว่า
ท่าน ว.วชิรเมธี : มาหาพระพุทธเจ้าอย่าขอ แต่บอกว่าพระองค์จะเป็นต้นแบบในการดำเนินชีวิตของเรา
วู้ดดี้ : อยากจะได้เงินเยอะๆ วันนี้ขอให้เงินไหลมาเทมา ไม่ใช่
ท่าน ว.วชิรเมธี : ไม่มีทาง พระพุทธเจ้าไม่ได้มีหน้าที่มาหาเงินให้ใคร ท่านมีหน้าที่เป็นแรงบันดาลใจให้เรา พระธรรมทำหน้าที่เป็นแผนที่ให้เรา พระสงฆ์ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงให้เรา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถ้านับถือให้ถูกต้อง ต้องเป็นแบบนี้นะ
วู้ดดี้ : ขอให้พ่อแม่พ้นจากทุกข์โศกโรคภัยต่างๆ หรือขอให้ครอบครัวมีความสุข อันนี้ก็ไม่ใช่
ท่าน ว.วชิรเมธี : ถ้าคุณขอให้โลกนี้จะมีคนผิดหวังมั้ย พุทธศาสนาไม่ใช่ศาสนาแห่งการขอ เป็นศาสนาแห่งการลงมือทำ คุณอยากได้อะไรดีๆ คุณทำเหตุให้ดีแล้วผลที่ดีจะตามมา คุณมาขอท่านแต่คุณไม่ได้ทำอะไรให้พ่อให้แม่เลย ท่านจะดีมั้ย
วู้ดดี้ : วู้ดดี้ก็จะบอกว่าผมจะเริ่มจากการเป็นคนดี ผมจะมีสติในการใช้ชีวิต ผมจะดูแลสุขภาพตัวเองให้แข็งแรงเพื่อที่จะได้มีสติในการช่วยเหลือชาวโลก
ท่าน ว.วชิรเมธี : ถูกต้อง เรามาหาพระองค์ท่านเพียงเพื่อขอให้พระองค์ท่านเป็นสักขีพยานให้เรา การลงมือทำเป็นเรื่องของเราทั้งหมด เคยได้ยินมั้ย อัตตาหิ อัตตาโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งของตน
วู้ดดี้ : แสดงว่าตั้งแต่เกิดมาผมเข้าใจผิดมาตลอดเลยว่าเวลาเจอพระคือขอๆๆๆๆ อย่างเดียว
ท่าน ว.วชิรเมธี : ไม่ใช่แล้ว พุทธศาสนาไม่ใช่ศาสนาแห่งการขอ เราเป็นศาสนาแห่งการลงมือทำ ไม่ใช่ให้มาหาแล้วก็ขอๆๆๆ
วู้ดดี้ : แล้ววู้ดดี้ควรจะตั้งจิตแล้วก็อธิษฐานว่ายังไงครับ
ท่าน ว.วชิรเมธี : ตั้งสัตยาธิษฐานว่าวันนี้ข้าพระพุทธเจ้ามาอยู่เบื้องพระพักตร์ของพระองค์แล้ว พระองค์เป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จด้วยความเพียรพยายามของพระองค์เองฉันใด ข้าพเจ้าจะขอเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จด้วยความเพียรพยายามของข้าพระพุทธเจ้าฉันนั้นเหมือนกัน นี่เป็นการขอที่ถูกต้องนะ ขอให้ตัวเองได้ทำอย่างที่พระองค์ทำสำเร็จมาแล้ว ไม่ใช่มาขอให้พระองค์มาทำให้เรา
อยู่บนโลกนี้มา ๓๒ ปี เพิ่งรู้วันนี้แหละครับว่าการที่คนเราจะทำอะไรได้หรือจะประสบความสำเร็จนั้น คนเดียวที่เราจะต้องพึ่งคือตัวเราเอง
|
|
วู้ดดี้ : ท่านพาผมมาที่กุฏิส่วนตัวของท่านด้วยครับ ล้อมรอบไปด้วยธรรมชาติอย่างแท้จริงเพื่อให้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม ก็สมกับที่ใครๆ ยกย่องว่าท่านเป็นพระนักปราชญ์ ผมอยากรู้ว่าบุคคลต้นแบบหรือไอดอลของท่านนั้นคือใครครับ
ท่าน ว.วชิรเมธี : แน่นอนที่สุดเบอร์หนึ่ง แล้วไม่มีเบอร์สองด้วยนะ ต้องพระพุทธเจ้า อันนี้ยกไว้เลยนะ เป็นพระถ้าไม่ถือว่าพระพุทธเจ้าเป็นไอดอลก็คงไม่ใช่พระแล้วนะ ทีนี้ในแง่คนทั่วไป พระคือ ท่านพุทธทาสภิกขุ เป็นแรงบันดาลใจให้พระอาจารย์ ในแง่ของการเป็นพระที่กล้าที่จะคิดนอกกรอบ และมีความกล้าหาญทางจริยธรรมที่จะเทศน์ที่จะสอน ท่านยินดีที่จะพูดความจริงโดยไม่กลัวว่าตัวเองจะต้องตาย รูปที่สองพระพรหมคุณาภรณ์ ได้เปรียญธรรม ๙ ประโยคตั้งแต่ยังเป็นสามเณร มีความแม่นยำในทางพระธรรมวินัยสูงมาก เป็นพระไทยรูปแรกที่ไม่ได้เรียนเมืองนอก แต่มีปัญญาพอที่จะไปสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยฮาเวิร์ด สาม หลวงพ่อชา สุภัทโท เพราะพระอาจารย์อยากเจริญรอยตามหลวงพ่อชา สุภัทโท อาศรมอิสรชนจึงเกิดขึ้น มิฉะนั้นพระอาจารย์ไม่มาปลีกวิเวกอยู่ที่นี่ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๕ เพราะพระอาจารย์ฝันที่จะเป็นอย่างท่าน ต่อไป รูปที่สี่ ท่านดาไลลามะ เป็นพระที่มีชีวิตชีวามาก ความรู้ทางโลกดีมาก ความรู้ทางธรรมดีมาก แล้วเป็นพระที่นำพระพุทธศาสนาไปเผยแผ่ชาวตะวันตกยอมรับ ท่านเป็นพระของวันนี้ ที่ร่วมสุขร่วมทุกข์กับชาวโลกแล้วชาวโลกสัมผัสได้ แล้วก็รูปที่ห้า พระเซ็นชาวเวียดนามชื่อท่านติช นัท ฮันห์ เป็นพระวิปัสสนาญาณสายเซ็นที่ได้รับการยอมรับสูง หนึ่งในสองรูปของโลกนี้ |
วู้ดดี้ : พระพุทธเจ้าบอกว่ากิเลสเป็นตัวทำให้เกิดทุกข์ แต่ถ้าวู้ดดี้เองไม่มีกิเลส เช่น ไม่อยากทำรายการ ไม่อยากมีรถยนต์เพื่อเดินทางมาหาท่าน ไม่อยากขึ้นเครื่องบินมาหาท่าน แล้วเราจะมีวันนี้ได้ยังไงครับท่านอาจารย์ มันต้องมีบ้างไม่ใช่เหรอ
ท่าน ว.วชิรเมธี : คนไทยมักจะเข้าใจผิดนะ แท้ที่จริงถ้าคุณไม่มีความอยากอย่างนี้ คุณก็สามารถทำอะไรดีๆ และยิ่งกว่านี้ได้ ฉะนั้นความอยากจึงมีสองอย่าง ๑. อยากเพราะถูกผลักดันโดยตัวกิเลส ๒. อยากเพราะถูกผลักดันโดยตัวปัญญา ทีนี้ถ้าปัญญามันผลักดันคุณ มันจะให้คุณมีความรู้สึกอย่างหนึ่ง เช่นอย่างพระอาจารย์อยากแสดงธรรม ปัญญามันพาทำนะ ปัญญามันจะบอกว่าทำเถอะ เพราะว่าธรรมะช่วยเปิดหูเปิดตาให้คนพ้นทุกข์
ทีนี้ถ้าความอยากคือกิเลสมันพาทำนะ ทำเถอะไปออกทีวีเถอะแล้วท่านจะดัง
วู้ดดี้ : ถ้าวู้ดดี้อยากจะเป็นนายก วู้ดดี้จะ manage กิเลสยังไงฮะ
ท่าน ว.วชิรเมธี : ก็ต้องถามดูว่า คุณอยากจะเป็นนายกเพื่ออะไร
วู้ดดี้ : เพื่อเปลี่ยนประเทศนี้ให้มันดีขึ้น
ท่าน ว.วชิรเมธี : ถ้าอย่างนี้นะ คุณไม่ได้ทำเพราะกิเลส คุณทำเพราะปัญญาเป็นความอยากที่ถูกต้อง
วู้ดดี้ : ถ้าผมอยากจะเป็นนายกเพราะผมอยากจะโกงกินประเทศนี้ อยากเอาเงินเก็บเข้ากระเป๋าตัวเองให้ครอบครัวเรารวย
ท่าน ว.วชิรเมธี : อันนี้คุณทำเพราะตัณหา แสดงว่าคุณเป็นนายกที่มีโอกาสจะเป็นทรราชย์สูงมาก
วู้ดดี้ : ถ้าผมอยากจะเป็นนายกเพราะว่ามีคนแบ๊คแล้วก็สั่งให้ผมต้องเป็นนายก
ท่าน ว.วชิรเมธี : อันนี้คุณทำเพราะตัณหา คุณเป็นตัวแทนของกิเลส หัวหน้าพรรคของคุณคือกิเลสไม่ใช่ปัญญา เพราะฉะนั้นวัดได้หรือยังว่าความอยากมันมีสองอย่าง อยากทำอะไรดีๆ เพราะมีปัญญาเป็นความอยากที่ถูกต้อง อยากทำอะไรดีๆ เพราะมีตัณหาเป็นความอยากที่ไม่ถูกต้อง ฉะนั้นวันหนึ่งคุณโยมทำรายการนะ แต่คุณโยมมีเงินมากแล้วมีชื่อเสียงมากพอแล้ว คุณอยากจะให้แต่สาระประโยชน์แก่คนไทยล้วนๆ นี่แหละความอยากของคน เป็นความอยากที่ถูกต้อง
วู้ดดี้ : ตอนนี้คนไทยทั้งประเทศมีความทุกข์เยอะ บางทีหาทางไม่ได้ก็ฆ่าตัวตาย วู้ดดี้ออยากจะให้คนที่ดูอยู่และมีความรู้สึกแบบนั้น ได้มีโอกาสในการคิด อยากจะให้พระอาจารย์ช่วยให้เขามีสติหน่อย
ท่าน ว.วชิรเมธี : พระอาจารย์อยากให้เขาลุกขึ้นมา เดินออกจากสภาพแวดล้อมอย่างนั้น แค่คุณเดินออกไปพลังงานด้านลบก็จะหายไปจากตัวคุณแล้ว ถ้าคุณมีแนวโน้มกำลังจะฆ่าตัวตาย คุณพูดให้เพื่อนฟังนะ โทรศัพท์ไปหาเพื่อน เพื่อนจับสัญญาณได้ เพื่อนจะได้ช่วยคุณได้
วู้ดดี้ : ถ้าคนที่ไม่มีเพื่อนล่ะครับ ไม่มีเพื่อนไม่มีครอบครัว อยู่คนเดียวล่ะ
ท่าน ว.วชิรเมธี : คุณก็สร้างขึ้นมาใหม่ให้มันมีได้นี่ เปิดโทรทัศน์ก็ได้ ไปหาเทปธรรมะมาฟังก็ได้ เพื่อนมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ขึ้นอยู่แต่ว่าคุณเปิดหูเปิดตาเปิดใจหรือเปล่า เคยได้ยินคำนี้มั้ย โลกของวู้ดดี้ต้องไม่เคยได้ยินอะไรอย่างนี้แน่ๆ "กัลยาณมิตร" อีกคำหนึ่ง good friend เพื่อนแท้ แต่คนไทยไม่ชอบหรือบางทีไม่ให้ความสำคัญกับกัลยาณมิตรนะ บางทีเราไม่รู้จักด้วยซ้ำ เรามีสิ่งหนึ่งมากเกินไปนั่นคือ ปาปมิตร เพื่อนชั่ว เพื่อนเลว ชวนกันไปกิน ชวนกันไปเที่ยว
วู้ดดี้ : สนุกมาก
ท่าน ว.วชิรเมธี : ชวนกันไปเล่น
วู้ดดี้ : โห...มันมันส์
ท่าน ว.วชิรเมธี : ชวนกันไปเมา
วู้ดดี้ : สนุกเลย
ท่าน ว.วชิรเมธี : ปาปมิตรทั้งหมด เขาเรียกเพื่อนชั่ว คบแล้วต่ำลงๆๆๆ บางทีหน้าตาดีแต่ใจต่ำ
คำถามสุดท้ายที่ผมจะถามท่าน ว.วชิรเมธี เป็นคำถามที่หลายคนบอกว่า เราไม่ควรถามพระ แต่ผมเชื่อว่าท่านมีคำตอบครับ
วู้ดดี้ : ท่านเป็นเพศชายแน่นอน ท่านเข้ามาอยู่ในโลกของธรรมะ ท่านสามารถระงับอารมณ์ทางเพศได้อย่างไร
ท่าน ว.วชิรเมธี : เรื่องแบบนี้มันอยู่ที่เรา จะไปให้ความสำคัญกับมันมากหรือน้อย คนทุกคนมีนะ อารมณ์ทุกอย่างที่มีในปุถุชนก็มีในพระทั้งหมด แต่พระเราจะถูกสอนให้เรียนรู้ที่จะไม่ต่อยอดสิ่งเหล่านี้
วู้ดดี้ : แสดงว่าเวลาเกิดกำหนัดเราก็แค่ไม่ต่อยอด...จบ
ท่าน ว.วชิรเมธี : เราก็เดินหนี แค่นั้นเอง กามารมณ์เกิดจากความคิด
วู้ดดี้ : งั้นเวลาสมมติว่าท่านท่องเน็ต แล้วดันเผอิญไปคลิกผิดแล้วมีไซต์โป๊ขึ้นมา เคยมีมั้ยฮะ
ท่าน ว.วชิรเมธี : มันแย่มากเพราะอาตมาไม่ไปท่องเว็บที่ไร้สาระแบบนั้นอยู่แล้ว แต่ถ้ามันเข้ามาก็ไม่เป็นปัญหาถ้าเราไม่ต่อยอด แต่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ชัดแล้วหลังตรัสรู้ว่ากามารมณ์ก็คือความคิด ถ้าคุณไม่คิด ความรู้สึกเชิงกามารมณ์ไม่เคยมีตัวตน
วู้ดดี้ : มนุษย์เราต้องมีเพศสัมพันธ์ใช่มั้ยฮะ มันก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นความสุขทางโลก ถ้าไม่มีเพศสัมพันธ์ก็ไม่มีเราทุกวันนี้ เราจะอธิบายได้ยังไง เราจะแยกแยะได้ยังไง ไม่งั้นโลกทั้งโลกใบนี้ ผู้ชายทุกคนก็ควรต้องเป็นพระสิครับ
ท่าน ว.วชิรเมธี : ไม่มีใครพูดอย่างนั้น พระพุทธเจ้าก็ไม่พูดอย่างนั้น เรามักจะคิดว่าความสุขที่เข้มข้นที่สุด ถึงอกถึงใจที่สุดคือความสุขเชิงกามารมณ์ใช่มั้ย หยิบจับสัมผัสได้ แต่คุณลืมไปว่าความสุขมันเป็นขั้นบันไดนะ แต่มนุษย์ติดอยู่บันไดขั้นแรกคือสุขจากกามารมณ์แล้วก็คิดว่าถึงที่สุดแล้วหลวงพ่อไม่เท่าฉันหรอกน่า
ไอ้พวกนี้มันอยู่ในมูตรในคูถแล้วมีความสุขที่สุด แล้วมันไปสงสารคนอื่นที่ไม่มีความสุขเหมือนตัวเอง คิดว่าความสุขจากกามารมณ์เป็นสุขที่วิเศษที่สุด หลวงพ่อหลวงพี่ทั้งหลายไม่มีโอกาส สู้เราไม่ได้
วู้ดดี้ : เราถึงจุดสุดยอดแต่พระไม่ถึง
ท่าน ว.วชิรเมธี : ใช่ เราลืมไปว่าจุดสุดยอด ไม่ได้หมายความว่ามันจะต้องเกิดจากกามารมณ์เท่านั้น มันอาจจะเป็น Spiritual Orgasm ก็ได้
วู้ดดี้ : มันมี Orgasm หลายแบบ
ท่าน ว.วชิรเมธี : ใช่ ทำไมคุณไปคิดว่ามันมีแค่ไหนล่ะ
วู้ดดี้ : งั้นความสุขทางโลกของเราจริงๆ แล้วในหลักของพระพุทธศาสนามันไม่ใช่อย่างนั้นเลยใช่มั้ย
ท่าน ว.วชิรเมธี : คือความสุขที่มนุษย์บอกว่าสุขที่ถึงที่สุดแล้วก็ทุกข์ถึงที่สุดก็เพราะความสุขชนิดนี้ คือสุขเพราะกามารมณ์ พระอาจารย์อยากจะบอกว่ามันเป็นแค่ความสุขขั้นต่ำที่สุด จุดสุดยอดในวงการพุทธศาสนาคือการเป็นพระอรหันต์ การบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณเหมือนที่พระพุทธเจ้าบรรลุ พอเราไปถึงที่สุดทุกข์เราบรรลุมรรคผล เราวิวัฒนาการถึงจุดสูงสุดแห่งความเป็นมนุษย์ มีความสุขตลอดกาล ยังมีขั้นที่สองนะ ปัญญาสุข สุขจากการแสวงหาปัญญา
วู้ดดี้ : แล้วขั้นต่อไปล่ะครับ
ท่าน ว.วชิรเมธี : ขั้นที่สาม สมาธิสุข สุขจากการที่หลับตานั่งนิ่งๆ ตามดูลมหายใจ พอจิตสงบร่างกายก็สดชื่นเบิกบาน หลั่งสารเอนโดฟินซึ่งเป็นสารแห่งความสุขออกมานะ เท่านั้นแหละวู้ดดี้จะรู้สึกว่ามันชุ่มเย็นมันเบิกบานทั้งเนื้อทั้งตัว พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ว่า เวลาสารแห่งความสุขหลั่งออกมา ไม่มีตรงไหนตั้งแต่หัวจรดเท้าที่รังสีแห่งความสุขแผ่ไปไม่ถึง นี่เรียกว่าสมาธิสุข วันหลังลองนั่งสมาธินานๆ ซักครั้งละครึ่งชั่วโมง แล้ววู้ดดี้จะเห็นว่าสุขจากกามารมณ์ที่ตัวเองเคยผ่านพบมันเป็นแค่อะไรที่เล็กที่สุด ต่ำต้อยที่สุด แล้วเธอจะหันไปมองความสุขชนิดนั้นเหมือนคนที่ถ่มน้ำลายทิ้งแล้วไม่เสียหายเลย แล้วคุณจะรู้ว่าคุณไปหลงอยู่ตรงนั้นเสียตั้งนาน สุขที่สูงกว่านั้นยังมีอยู่ทำไมไม่มอง บางครั้งมาดูถูกด้วยนะ นี่แค่ขั้นที่สามเองนะ สมาธิสุขจนน้ำหูน้ำตาไหล นี่ขั้นที่สาม สุขที่สี่ สุขสุดท้ายที่ปลายทางชีวิตมนุษย์ทุกคนควรไปให้ถึง นิพพานสุข เป็นความสุขที่เราเป็นอิสระจากกิเลสอย่างสิ้นเชิง
ตั้งแต่ผมเกิดมา ผมไม่เคยเสียน้ำตาแต่มีความสุขมากขนาดนี้ครับ อาจเป็นเพราะว่าผมได้คำตอบแล้วในที่สุด สุดท้ายเรื่องที่ผมคิดว่าไกลตัวผมมากกลับกลายเป็นสิ่งที่ใกล้มากกว่าที่คุณคิด เพราะทั้งหมดคือเรื่องของใจและตัวเราเอง และแล้วแขกรับเชิญที่ผมคิดว่าไม่ใช่มากที่สุดกลับกลายเป็นแขกที่ใช่ที่สุดสำหรับผม
|