|
|
หลวงพ่อชา สุภัทโท
|
|
|
|
๓๓. "ชาติหน้า มีจริงหรือ?" โดย หลวงพ่อชา สุภัทโท แนะนำโดย พี่หนูเล็ก ณัฐนิชา (๒๓ ม.ค. ๒๕๕๖) |
มีอีเมล์เวียนส่ง (forwarding Email) ธรรมะดีๆ จากพี่หนูเล็ก ณัฐนิชา มาอีกแล้วครับ คราวนี้มาถึงเรื่องปัญหาโลกแตก ที่ใครๆ ต่างก็มักจะสงสัยกันว่า "ชาติหน้ามีจริงๆ หรือ?" มาฟังคำตอบจากพระสุปฏิปันโน พระอาจารย์ใหญ่สายอีสาน อย่างหลวงพ่อชา สุภัทโท ที่มีผู้มาถามท่านในเรื่องนี้กันนะครับ
พ่อไก่อู
|
ชาติหน้า มีจริงหรือ?
ผู้ถาม : หลวงพ่อครับ ชาติหน้ามีจริงไหม?
พระอาจารย์ชา : ถ้าบอกจะเชื่อไหมล่ะ?
ผู้ถาม : เชื่อ
พระอาจารย์ชา : ถ้าเชื่อ ...คุณก็โง่
ผู้ถาม : คนตายแล้วเกิดไหม?
พระอาจารย์ชา : จะเชื่อไหมล่ะ? ถ้าเชื่อ ...คุณโง่หรือฉลาด?
แล้วท่านจึงสอนต่อไปว่า
หลายคนมาถามอาตมาเรื่องนี้ อาตมาก็ถามเขาอย่างนี้เหมือนกันว่า ถ้าบอกแล้วคุณจะเชื่อไหม? ถ้าเชื่อคุณก็โง่ เพราะอะไร ก็เพราะมันไม่มีหลักฐาน-พยานอะไร ที่จะหยิบมาให้ดูได้ ที่คุณเชื่อ เพราะคุณเชื่อตามเขา คนเขาว่าอย่างไร คุณก็เชื่ออย่างนั้น คุณไม่รู้ชัดด้วยปัญญาของคุณเอง คุณก็โง่อยู่ร่ำไป
ที่นี้ถ้าอาตมาตอบว่า คนตายแล้วเกิด หรือว่าชาติหน้ามี อันนี้คุณต้องถามต่อไปอีกว่า ถ้ามีพาผมไปดูหน่อยได้ไหม? เรื่องมันเป็นอย่างนี้ มันหาที่จบลงไม่ได้ เป็นเหตุให้ทะเลาะทุ่มเถียงกันไปไม่มีที่สิ้นสุด
ที่นี้ ถ้าคุณถามว่าชาติหน้ามีไหม? อาตมาก็ถามว่า พรุ่งนี้มีไหม? ถ้ามีพาไปดูได้ไหม? อย่างนี้คุณก็พาไปดูไม่ได้ ถึงแม้ว่าพรุ่งนี้จะมีอยู่ แต่ก็พาไปดูไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น ถ้าวันนี้มี พรุ่งนี้ก็ต้องมี แต่สิ่งนี้เป็นของที่จะหยิบยกเอามาเป็น วัตถุตัวตนให้เห็นไม่ได้
ความจริงแล้วพระพุทธองค์ท่านไม่ให้เราตามไปดูถึงขนาดนั้น ไม่ต้องสงสัยว่าชาติหน้ามีหรือไม่มี ไม่ต้องไปถามว่า คนตายแล้วจะเกิดหรือไม่เกิด อันนั้นมันไม่ใช่ปัญหา มันไม่ใช่หน้าที่ของเรา
หน้าที่ของเรา คือ เราจะต้องรู้จักเรื่องราวของตัวเองในปัจจุบัน เราต้องรู้ว่า เรามีทุกข์ไหม? ถ้าทุกข์ มันทุกข์เพราะอะไร? นี้คือสิ่งที่เราจะต้องรู้ และเป็นหน้าที่โดยตรงที่เราจะต้องรู้ด้วย
พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เรา ถือเอาปัจจุบันเป็นเหตุของทุกอย่าง เพราะว่าปัจจุบันเป็นเหตุของอนาคต คือ ถ้าวันนี้ผ่านไป วันพรุ่งนี้มันก็กลายมาเป็นวันนี้ นี่เรียกว่าอนาคต คือ พรุ่งนี้ มันจะมีได้ก็เพราะวันนี้เป็นเหตุ ทีนี้อดีตก็เป็นไปจากปัจจุบัน หมายความว่า ถ้าวันนี้ผ่านไป มันก็กลายเป็นเมื่อวาน นี้เสียแล้ว นี่คือเหตุที่มันเกี่ยวเนื่องกันอยู่
ฉะนั้น พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้เราพิจารณาเหตุทั้งหลายในปัจจุบัน
เท่านี้ก็พอแล้ว ถ้าปัจจุบันเราสร้างเหตุไว้ดี อนาคตมันก็จะดีด้วย อดีต คือ วันนี้ที่ผ่านไป มันย่อมดีด้วย และที่สำคัญที่สุด คือ ถ้าเราหมดทุกข์ได้ในปัจจุบันนี้แล้ว อนาคต คือ ชาติหน้าก็ไม่จำเป็นที่จะต้องพูดถึง
คนหนึ่งพูดว่า : กลัวว่าชาติหน้าจะไม่ได้เกิด
ท่านอาจารย์ชา : นั่นแหละยิ่งดี กลัวมันจะเกิดเสียด้วยซ้ำไป
ในครั้งพุทธกาล สมัยที่พระพุทธเจ้ายังคงมีชีวิตอยู่ มีพราหมณ์คนหนึ่งมีความสงสัยว่าคนตายแล้วไปไหน? คนตายแล้วเกิดหรือไม่? ถ้าพระองค์ตอบได้ ก็จะมาบวชด้วย แต่ถ้าตอบไม่ได้ หรือไม่ตอบ แกก็จะไม่บวช แกว่าของแกอย่างนั้น
พระพุทธเจ้าจึงตอบว่า มันเป็นเรื่องอะไรของฉันเล่า พราหมณ์จะบวชหรือไม่บวช นั่นเป็นเรื่องของพราหมณ์ ไม่ใช่เรื่องของฉัน
พระองค์ตรัสว่า ถ้าตราบใดที่พราหมณ์ยังมีความเห็นว่า มีคนเกิด หรือมีคนตาย คนตายแล้วเกิด หรือคนตายแล้วไม่เกิด ถ้าพราหม์ยังมีความเห็นอยู่อย่างนี้ พราหมณ์ก็จะเป็นทุกข์ทรมานอยู่อีกหลายกัลป์ ทางที่ถูกนั้น พราหมณ์จะต้องถอนลูกศรออกเสียบัดนี้
พระพุทธเจ้าท่านว่า ความจริงแล้วไม่มีใครเกิด ไม่มีใครตาย พราหมณ์คนนั้นฟังไม่รู้เรื่อง และจนกว่าแกจะได้เรียนรู้เรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ให้เข้าใจถ่องแท้เสียแล้วนั่นแหละ จึงจะเข้าใจคำพูดของพระองค์ได้ นั่นจึงจะเรียกว่า
การรู้เห็นตามความเป็นจริงด้วยปัญญา เป็นการเชื่อด้วยปัญญา
พระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้ ไม่ได้สอนว่าให้เชื่อว่าคนตายแล้วเกิดหรือไม่เกิด
ชาติหน้ามีหรือไม่มี อย่างนั่นไม่ใช่เรื่องเชื่อ หรือไม่เชื่อ จะถือเอาเป็นประมาณไม่ได้ จะถือเอาเป็นหลักเกณฑ์ไม่ได้
ดังนั้น ที่คุณถามว่า ชาติหน้ามีไหมนั้น อาตมาจึงถามคุณว่า ถ้าบอกแล้วคุณจะเชื่อไหม? ถ้าเชื่อ โง่หรือฉลาด? อย่างนี้เข้าใจไหม? ให้เอาไปคิดดูเป็นการบ้านนะ
หลวงพ่อชา สุภัทโท
|