Home & NewsHistoryDhamma AreeKai-U Luck KidDhamma's WebboardContactDhamma Cartoon
 
 
MP3VDOsPDF  
 



๑๙. ถ้าก่อนตาย ใจถึงกุศลได้ ก็อาจมีสิทธิ์ได้ไปสุคติภูมิ โดย ดังตฤณ แนะนำโดย พ่อไก่อู (๑๕ มี.ค. ๒๕๕๖)

เป็นบทความที่ผมอ่านพบในนิตยสารออนไลน์ "ธรรมะใกล้ตัว" จากคอลัมน์ ดังตฤณวิสัชนา ฉบับเปิดกรุ - ฉบับที่ ๑๖๔ เขียนโดย ดังตฤณ พูดเรื่อง "จริงหรือไม่ที่ว่า ถ้าก่อนตายเราจับอารมณ์ที่เป็นกุศล ก็จะไปสุคติภูมิ" เป็นเรื่องที่น่าสนใจ และหลายๆ คนก็คงอยากจะรู้เรื่องปัญหาโลกแตก ที่เกี่ยวกับ ชีวิตหลังความตายว่า ถ้าอยากไปสู่สุคติ ในทางศาสนาพุทธ ผู้รู้มีคำอธิบายว่าอย่างไร เลยอยากจะเอามาแชร์ต่อน่ะครับ ขออนุญาตเผยแพร่ต่ออีกทางเลยนะครับ

พ่อไก่อู
 
ถ้าก่อนตาย ใจถึงกุศลได้ ก็อาจมีสิทธิ์ได้ไปสุคติภูมิ

ถาม : จริงหรือไม่ที่ว่าถ้าก่อนตาย เราจับอารมณ์ที่เป็นกุศลก็จะไปสุคติภูมิ หากจับอกุศลก็ไปทุคติภูมิ แต่ส่วนมากในช่วงใกล้ตาย เวทนาจะมากจนไม่สามารถตั้งสติได้ จึงเป็นสาเหตุให้ควรฝึกปฏิบัติจนเกิดเป็นมหาสติไว้ก่อน


ตอบ : เปลี่ยนเป็นว่า ถ้าก่อนตาย ใจถึงกุศลได้
ก็ อาจมีสิทธิ์ได้ไปสุคติภูมิ จะใกล้เคียงความจริงนะครับ

ลองนึกถึงตอนปวดหัว ตัวร้อน เป็นไข้ หรือเป็นไมเกรน
ที่ทำให้ท้องไส้ปั่นป่วน ใกล้จะอาเจียน
จิตใจ แบบนั้น แม้จะนึกออก ท่องได้ว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
หรือท่องพุทโธ หรือสัมมาอรหัง
ก็ยากที่จะเป็นกุศล หากไม่จ่ออยู่กับกุศลแรงๆไว้จนอยู่ตัวล่วงหน้า

อีกประการหนึ่ง แม้ใจจะเป็นกุศล จะได้ไปสุคติภูมิคือมนุษยโลกหรือเทวโลก
ก็ไม่แน่นักว่าจะโดยดี หรือน่าพึงพอใจ
เพราะกรรมย่อมเป็นผู้จำแนกคลาสของการเกิดในภูมิหนึ่งๆอีกที

ยกตัวอย่างเช่นโลกมนุษย์นั้นถือว่าเป็นสุคติ
แต่ลองดูในปัจจุบันเป็นตัวอย่างเถิด
ว่าอยู่ในสุคติเพื่อทำกุศลหรืออกุศลมากกว่ากัน
อยู่ในโลกมนุษย์แล้วมีใครบ้าง นั่งนอนสบายเสวยสุขโดยไม่ลำบาก
อยู่ในโลกมนุษย์แล้วมีแต่เรื่องฉ่ำชื่นชวนสุขสันต์หรรษา
ไม่ต้องพบอุปสรรค ไม่ต้องมีเรื่องราวหม่นใจ

เทวโลกนั้นละไว้ เพราะไม่ค่อยมีใครรู้กัน
ว่าความเป็นอยู่ข้างบนเป็นอย่างไรแน่
แต่แน่อยู่อย่างคือมีการแบ่งชั้นวรรณะ
กรรมวิบากจัดสรรเทวสมบัติให้หยาบประณีตผิดแผกกัน
ความรุ่งเรืองในรัศมีแตกต่างกัน
บริษัทบริวารอันควรมีควรครองแตกต่างกัน

ความแตกต่างเหลื่อมล้ำต่ำสูงกันนั้นแหละ
เหตุที่มาของความขัดเคือง น้อยเนื้อต่ำใจในวาสนา
หรือกระทั่งความริษยา - ดูหมิ่น
เป็นของประจำภพภูมิที่เที่ยงแท้แน่นอนมาตลอดกาล

มีกี่คนในโลกนี้โกยบุญเพื่อเสวยสุขจากกุศลวิบาก
เอาแค่ความเชื่อในสังสารวัฏก็หาได้ยากเย็นเต็มที

ศาสนาพุทธจึงมีท่าทีต่อการเตรียมตัวตายอย่างชัดเจน
ว่าไม่ใช่ให้ระลึกถึงกุศลเอาในขณะตาย
แต่ให้พยายามสร้างสมบุญกุศลเอาไว้ตลอดชีวิต
เพราะบุญกุศลย่อมให้ผลเป็นความสุขในปัจจุบันประจักษ์ใจ
และถ้าชาติหน้าจะมีจริง ก็ย่อมให้วิบากเป็นอัตภาพอันน่ารื่นรมย์ ไม่เป็นรองใคร
(เว้นแต่ทำบุญด้วยกิริยาที่เป็นรองเขาหมด
ต้องให้เขาชักชวนเสียก่อนถึงยินดีแบบประดักประเดิด
แบบนี้จะหวังเสวยสุขอันเยี่ยมยอดนั้นคงยากแน่)

เมื่อคิด พูด ทำอย่างที่เป็นบุญตลอดเวลา
ตามแนวทางของทาน ศีล สมาธิ และปัญญาไม่ขาดสาย
ธรรมชาติของใจก็ย่อมเปิด ย่อมสว่าง มีความหนักแน่นมั่นคงอยู่เองเป็นธรรมดา
แม้เมื่อตายโดยไม่รู้ตัว พื้นกุศลอันหนักแน่นนั้นก็จะเป็นพื้นหนุน
เป็นเกราะป้องกระแสอกุศลอันแข็งแรงเอง
แทบไม่มีความจำเป็นต้องระลึกถึงกุศลแต่อย่างใด
ในเมื่อภาวะมันจ่ออยู่เองแล้ว สบาย ลอยลำอยู่แน่แล้ว

อีกประการหนึ่ง พุทธศาสนามีท่าทีให้ หนีการเกิด
คืออย่าเกิดเป็นดีที่สุด สลัดคืนบ่อเกิดของอัตภาพทั้งปวงนั่นแหละปลอดภัยแท้
แม้ยังทำไม่ได้ ยังอาลัยไยดี ยังเห็นการเกิดเป็นของน่าหวงแหน
อย่างน้อยทำให้เบาบาง ด้วยการหมั่นคิด หมั่นพิจารณาไปเรื่อย
ว่าสิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์
สิ่งใดเป็นทุกข์ ควรตามเห็นหรือไม่ว่านั่นของเรา นี่ของเรา
ค่อยๆทำใจให้ตีตัวออกห่าง ผละจากเปลือกหยาบภายนอก
แล้วตะล่อมเข้ามาหาเจ้าเรือนอัตตาคือกายนี้ใจนี้
เลื่อมใสศรัทธาพระพุทธเจ้าอย่างไม่คลอนแคลน
ก็เท่ากับเป็นการสร้างสะพาน สานกระแสจิตให้ไหลไปสู่ความหลุดพ้นจากวังวนทุกข์
เผลอๆถ้าหมั่นพิจารณาจนสั่งสมกำลัง ความปล่อยวางไว้มากพอ
ก่อนตายจิตอาจได้จังหวะเบิกบานออกเป็นความรู้แจ้งระดับแรกก็ได้ครับ
เพราะถ้าก่อนตายใจจับกายอันกำลังจะล่วงลับ
จับจิตและความทุกข์จากธาตุขันธ์ เห็นสักแต่เป็นของว่างเปล่าที่กำลังจะดับไป
การช่วยแสดงอนัตตภาพของกายใจขณะนั้นจะแจ่มใสหนักแน่นยิ่ง
ไม่ต้องลุ้น ไม่ต้องแกล้งทุรนทุราย ไม่ต้องเพ่งให้กายบิดตะกูดเป็นอนัตตาแต่อย่างใดเลย

ขอเพียงมีจิตที่สั่งสมอนัตตสัญญามาแล้ว มาสอดรับกับสถานการณ์จริง
ประกอบกับมีกระแสกุศลเอ่อขึ้นเหมือนกลุ่มน้ำช่วยค้ำชู
ก็เป็นไปได้สูงที่จิตจะดิ่งแน่ว เข้าสู่การรู้แจ้งเห็นจริงในสังขารจนปล่อยวางได้
ทำลายความเห็นมีตัวมีตนในกายใจได้ตลอดรอดฝั่ง
ก็ผ่านขั้นแรกถึงความปลอดภัย
ไม่ร่วงหล่นสู่อบายอย่างเด็ดขาด และเที่ยงที่จะถึงนิพพานในกาลต่อไปได้เอง
กับทั้งระหว่างทางไปนิพพาน
ก็แน่ใจ เชื่อมั่นในความปลอดภัยได้ในระดับจิต
เห็นจิตละจากเชื้ออกุศลกรรมหยาบในขั้นที่จะให้ไปสู่อบาย
มีแต่ความรุ่งเรืองโปร่งใส ฝักใฝ่ในบุญกุศล
ให้รู้เองว่าจะต้องเกิดตายอีกเท่าไหร่ก็อยู่ในเขต อยู่ในโลกอันเป็นกุศล น่าพึงพอใจ
ไม่ขัดสนเพราะจิตเปิดเป็นทานอยู่แล้ว
ไม่อยู่ในตระกูลต่ำเพราะจิตสูงด้วยศีลอยู่แล้ว
ไม่เป็นจิตเภท ไม่สัดส่ายฟุ้งซ่านเพราะจิตมั่นคงดีแล้ว
และจะไม่โง่เขลาเบาปัญญา เพราะจิตเห็นชอบ และเข้าหาเครื่องระลึกชอบอยู่แล้ว

ดังตฤณ
๒๘ มี.ค. ๒๕๔๓



ดังตฤณ (ศรันย์ ไมตรีเวช)

 
    กลับด้านบน
  Create and Maintained by JitdraThanee Copyright © 2008-2014 All Rights Reserved. Best viewed 1280x800 pixels.  
start Histats: 29 Aug.2010